ประวัติ
มูรีนโยได้รับการยกย่องจากผู้เล่น ผู้ฝึก และผู้ประกาศข่าวกีฬาหลายคนว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก [ 2 ] [ 3 ] [ 4 ] และยังได้รับเกียรติจาก สหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 2015 ว่าเป็นผู้ฝึกสอนชาวโปรตุเกสที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษนี้ [ 5 ] มูรีนโยเริ่มต้นอาชีพสายฟุตบอลด้วยการเป็นผู้เล่นในดิวิชัน 2 ของโปรตุเกส เขาเรียนจบวิทยาศาสตร์การกีฬาจาก มหาวิทยาลัยเทคนิคลิสบอน และเข้ารับการอบรมหลักสูตรการเป็นผู้ฝึกในสหราชอาณาจักร ในขณะที่อยู่ในลิสบอนเขาทำงานเป็นครูพลศึกษาและหาประสบการณ์ทำงานในด้านอื่น ๆ โดยการเป็นผู้ฝึกทีมเยาวชน แมวมอง และผู้ช่วยผู้จัดการ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามของเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในช่วงที่ร็อบสันทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม สปอร์ติงลิสบอน และ สโมสรฟุตบอลโปร์ตู ในโปรตุเกส และ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ในสเปน หลังจากร็อบสันจากบาร์เซโลนาไป มูรีนโยตัดสินใจอยู่ที่สโมสรเดิมโดยทำงานร่วมกับ ลูวี ฟัน คาล ซึ่งมาทำหน้าที่แทนร็อบสัน มูรีนโยเริ่มงานสั้น ๆ โดยเป็นผู้จัดการให้กับ ไบฟีกา และ อูนีเยาดึไลรีอา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยสามารถพาไลรีอาไปอยู่อันดับที่ 5 ของลีกซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่ทีมเคยทำได้ มูรีนโยกลับไปอยู่กับโปร์ตูช่วงต้นปี ค.ศ. 2002 ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกและนำทีมชนะ ปรีไมราลีกา โปรตุเกสลีกคัพ และ ยูฟ่ายูโรปาลีก ในปี ค.ศ. 2003 ในฤดูกาลถัดมาเขาสามารถนำทีมชนะ โปรตุเกสซูเปอร์คัพ พาโปร์ตูถึงยอดของลีกเป็นครั้งที่สอง และได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดของฟุตบอลสโมสรยุโรปซึ่งก็คือการครองตำแหน่งแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังจากย้ายไป เชลซี ในปีถัดมาเขายังส่งให้เชลซีเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีด้วยคะแนนสูงถึง 95 คะแนน ร่วมกับการครองแชมป์ ลีกคัพ ในฤดูกาลเดียวกัน ในปีที่สองมูรีนโยยังคงพาเชลซีไปถึงจุดสูงสุดของพรีเมียร์ลีก และสามารถพาสโมสรไปชนะ เอฟเอคัพ และลีกคัพในช่วงฤดูกาล 2006-07 มูรีนโยออกจากเชลซีในเดึนกันยายน ค.ศ. 2007 ท่ามกลางข่าวปัญหาความแตกแยกระหว่างตัวเองกับ โรมัน อับราโมวิช เจ้าของสโมสร [ 6 ]
Reading: โชเซ มูรีนโย
หลังจากย้ายไป อินเตอร์มิลาน ซึ่งเป็นสโมสรในลีก เซเรียอา ในปี ค.ศ. 2008 ภายในสามเดึนมูรีนโยก็ได้สร้างเกียรติให้กับสโมสรอิตาลีแห่งนี้โดยพาทีมชนะการแข่งขัน อิตาเลียนซูเปอร์คัพ และจบฤดูกาลด้วยการครอง แชมป์ลีกเซเรียอา ในฤดูกาล 2009-10 อินเตอร์มิลานกลายเป็นสโมสรแรกของอิตาลีที่สามารถทำ เทรบเบิล โดยชนะเซเรียอา อิตาลีคัพ และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งอินเตอร์มิลานไม่สามารถชนะการแข่งขันหลังสุดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกห้าคนที่สามารถทำให้สโมสรฟุตบอลสองทีมสามารถครอง ถ้วยยุโรป [ 7 ] โดยอีกสี่คนที่เหลือคือ แอนสท์ ฮัพเพิล, อ็อทท์มาร์ ฮิทซ์เฟ็ลท์, ยุพพ์ ไฮน์เคส และ การ์โล อันเชลอตตี และได้รับรางวัล ผู้ฝึกยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ในปี ค.ศ. 2010 [ 8 ] จากนั้นเขาเซ็นสัญญากับ เรอัลมาดริด ในปี ค.ศ. 2010 และนำทีมชนะ โกปาเดลเรย์ ในฤดูกาลแรก ในปีต่อมาเขายังพาทีมครองแชมป์ ลาลิกา ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกคนที่ห้าถัดจาก ทอมิสลัฟ อีวิช, แอนสท์ ฮัพเพิล, โจวันนี ตราปัตโตนี และ เอริก เคเริตส์ ที่ได้สามารถเอาชนะลีกฟุตบอลได้อย่างน้อยในสี่ประเทศคือ โปรตุเกส อังกฤษ อิตาลี และสเปน [ 9 ] [ 10 ] หลังจากออกจากเรอัลมาดริดในเดึนมิถุนายน ค.ศ. 2013 มูรีนโยกลับไปอังกฤษเพื่อจัดการเชลซีเป็นครั้งที่สองซึ่งในระหว่างนั้นก็สามารถพาทีมชนะลีกคัพได้อีกครั้ง แต่การทำงานกับเชลซีก็มาถึงจุดสิ้นสุดในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2015 หลังจากมีผลงานย่ำแย่ทำให้เชลซีเกือบตกชั้น [ 11 ] ความรู้ทางยุทธวิธี บุคลิกที่มีลักษณะเฉพาะ ( ซึ่งเต็มไปด้วยข้อพิพาท ) และลักษณะการจัดการทีมซึ่งฝ่ายตรงข้ามมองว่าให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม ทำให้มูรีนโยถูกมองจากทั้งผู้ชื่นชอบและนักวิจารณ์ว่าเป็นทายาทของ เอเลนิโอ เอร์เรรา ผู้จัดการชาวอาร์เจนตินา [ 12 ] [ 13 ]
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
มูรีนโยเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1963 ในครอบครัวของชนชั้นกลางขนาดใหญ่ในเมือง ซึตูบัล ( เขตชานเมืองของ กรุงลิสบอนและปริมณฑล ) ประเทศโปรตุเกส เขาเป็นลูกชายของ ฌูแซ มานูแอล โมรีญู แฟลิช ( José Manuel Mourinho Félix ) หรือรู้จักในชื่อว่า แฟลิช โมรีญู และมีมารดาชื่อมารีอา ฌูเลีย การาโฌลา ดุช ซังตุช ( Maria Júlia Carrajola dos Santos ) [ 14 ] พ่อของมูรีนโยเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร บึลึเน็งซึช และ วีตอเรียดึซึตูบัล และติด ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส หนึ่งครั้ง ส่วนแม่เป็นครูโรงเรียนประถมและมีพื้นเพครอบครัวที่ร่ำรวย [ 15 ] โดยลุงของเธอเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างสนามฟุตบอลวีตอเรียดึซึตูบัล แต่ การล่มสลาย ของระบอบ รัฐใหม่ ของ อังตอนีอู ดึ โอลีไวรา ซาลาซาร์ ในเดึนเมษายน ค.ศ. 1974 ทำให้ครอบครัวของเธอต้องสูญเสียสมบัติทั้งหมด เหลือไว้เพียงที่ดินผืนเดียวในเมือง ปัลแมลา [ 16 ] ฟุตบอลเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของมูรีนโยตั้งแต่เด็ก ภาระผูกพันกับสโมสรฟุตบอลของแฟลิชหมายความว่าเขาจำต้องจากลูกชายเป็นประจำ เมื่อเป็นวัยรุ่น มูรีนโยมักเดินทางไปดูการแข่งขันของพ่อในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อพ่อกลายเป็นผู้ฝึก มูรีนโยจึงได้มีโอกาสสังเกตวิธีการฝึกสอนและการดูลาดเลาทีมตรงข้าม [ 17 ] มูรีนโยต้องการที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของบึลึเน็งซึช ในระดับอาชีพเขาเล่นให้กับ รีอูอาวึ ( ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้ฝึก ) บึลึเน็งซึช และเฌเด ซึซิงบรา แต่เขาขาดฝีเท้าและกำลังที่จำเป็นในการเป็นมืออาชีพ จึงเลือกที่จะเพ่งความสนใจในการเป็นผู้ฝึกทีมฟุตบอลแทน [ 15 ] [ 18 ] [ 19 ] แม่ของมูรีนโยลงทะเบียนให้เขาเรียนโรงเรียนสอนธุรกิจ แต่มูรีนโยก็ลาออกตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน โดยตัดสินใจว่าเขาต้องการมุ่งเน้นการเรียนในเรื่องของกีฬา จึงสมัครเข้าสถาบันการพลศึกษาขั้นสูง ( Instituto Superior de Educação Física ) ของ มหาวิทยาลัยเทคนิคลิสบอน เพื่อศึกษา วิทยาศาสตร์การกีฬา [ 16 ] เขาสอน พลศึกษา ในโรงเรียนต่าง ๆ และหลังจากห้าปีก็ได้รับประกาศนียบัตรโดยได้รับคะแนนดีอย่างสม่ำเสมอตลอดหลักสูตร [ 17 ] หลังจากที่เข้าร่วมหลักสูตรการเป็นผู้ฝึกที่จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล อังกฤษ และ สกอตแลนด์ แรงผลักดันและการใส่ใจในรายละเอียดของชายหนุ่มชาวโปรตุเกสคนนี้ก็ได้เตะตา แอนดี รอกซ์บะระ อดีตผู้จัดการ ฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์ [ 20 ] มูรีนโยพยายามที่จะนิยามบทบาทหน้าที่ของผู้ฝึกฟุตบอลขึ้นใหม่โดยผสมผสานทฤษฎีการฝึกกับเทคนิคทางจิตวิทยาและการสร้างแรงบันดาลใจเข้าด้วยกัน [ 15 ]
การทำงานในฐานะผู้ฝึก
หลังจากออกจากงานในฐานะครูฝึกของโรงเรียน มูรีนโยมองหาเส้นทางการเป็นผู้จัดการมืออาชีพในบ้านเกิดและได้เป็นผู้ฝึกทีมเยาวชนของวีตอเรียดึซึตูบัลในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการกับสโมสร อึชเตรลา [ 20 ] และเป็นแมวมองให้กับ โอวาเรงซือ จากนั้นในปี ค.ศ. 1992 เขาก็มีโอกาสทำงานเป็นล่ามให้เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ผู้ฝึกชั้นนำจากต่างประเทศซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ สปอร์ติงลิสบอน ทีมฟุตบอลเมืองลิสบอน และจำเป็นต้องมีผู้ฝึกท้องถิ่นที่สามารถพูดภาษาอังกฤษในการแปลภาษาให้ [ 18 ] มูรีนโยได้ถกกลยุทธ์และวิธีการทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกกับร็อบสันระหว่างการทำหน้าที่เป็นล่าม [ 18 ] หลังจากร็อบสันถูกปลดออกจากสปอร์ติงลิสบอนในเดึนธันวาคม ค.ศ. 1993 และ โปร์ตู ได้แต่งตั้งให้ร็อบสันเป็นหัวหน้าผู้ฝึก มูรีนโยจึงได้ติดตามไปด้วยและยังคงทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ฝึกและล่ามให้กับผู้เล่นในสโมสรแห่งใหม่ [ 20 ] ผู้เล่นของทีมโปร์ตูในสมัยนั้นเช่น ลยูบิงคอ ดรูลอวิช, ดูมิงกุช ปาซีเองเซีย, รุย บารุช, ฌอร์ฌือ กอชตา และ วีตอร์ บาอีอา มีอิทธิพลอย่างมากต่อฟุตบอลโปรตุเกสในปีต่อ ๆ มา ทีมโปร์ตูที่มีร็อบสันเป็นหัวหน้าผู้ฝึกและมีมูรีนโยในฐานะผู้ช่วยสามารถไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1993-94 และครองแชมป์ โปรตุเกสลีกคัพฤดูกาล 1993-94 ; ปรีไมราลีกาฤดูกาล 1994-95 และ 1995-96 ; และ โปรตุเกสซูเปอร์คัพ ปี ค.ศ. 1994, 1995 และ 1996 โดยในการแข่งขันครั้งหลังสุดนี้โปร์ตูสามารถเอาชนะ คู่ปรับ อย่างไบฟีกาด้วยชัยชนะ 5-0 และถือเป็นเกมส์สุดท้ายของร็อบสันก่อนที่จะย้ายไปบาร์เซโลนา ร็อบสันจึงได้ฉายา “ บ็อบบี 5-0 ” ( Bobby Cinco-a-zero ) ในโปรตุเกส นี่คืออิทธิพลของร็อบสันและมูรีนโยในการทำโปร์ตูให้เป็นทีมที่ยั่งยืน โปร์ตูสามารถครองแชมป์ปรีไมราลีกาได้อีกสามสมัยติดต่อกันหลังจากทั้งคู่จากไป หลังอยู่โปร์ตูได้สองปี ทั้งคู่ได้โอกาสย้ายอีกครั้งและได้เริ่มทำงานให้กับ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ในปี ค.ศ. 1996 [ 21 ] มูรีนโยย้ายครอบครัวไปอยู่ บาร์เซโลนา และค่อย ๆ กลายเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญของทีมบาร์เซโลนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีหน้าที่เป็นล่ามในช่วงการแถลงข่าว วางแผนการฝึก ช่วยผู้เล่นให้เข้าใจแผนกลยุทธ์ และวิเคราะห์แผนของฝ่ายตรงข้าม รูปแบบการจัดการของร็อบสันและมูรีนโยช่วยเติมเต็มส่วนที่ทั้งคู่ขาด ผู้ฝึกชาวอังกฤษเน้นรูปแบบการโจมตี ในขณะที่มูรีนโยหาทางเลือกในการป้องกัน ความรักในการวางแผนและฝึกฝนของผู้ช่วยชาวโปรตุเกสผสมผสานกับร็อบสันที่ชอบบริหารจัดการผู้เล่นโดยตรง การทำงานร่วมกันของทั้งสองให้ผลดีและทำให้บาร์เซโลนาจบฤดูกาลด้วยการครองแชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ฤดูกาล 1996-1997 ร็อบสันย้ายสโมสรในฤดูกาลถัดมา แต่ครั้งนี้มูรีนโยไม่ได้ตามไปด้วยเนื่องจากบาร์เซโลนาต้องการให้เขาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการต่อ [ 20 ] ทั้งสองยังคงมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหลังจากนั้น ภายหลังมูรีนโยยังพูดถึงอิทธิพลที่ร็อบสันมีกับเขาว่า
” หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนรู้จากบ็อบบี ร็อบสัน ก็คือ เมื่อคุณชนะคุณไม่ควรทึกทักว่าคุณคือ ทีม และเมื่อคุณแพ้คุณไม่ควรคิดว่าคุณเป็นขยะ [ 20 ] “
หลังจากร็อบสันออกจาก กัมนอว์ เพื่อไปคุม เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ( พีเอสวี ) ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์ มูรีนโยยังคงอยู่ที่ถิ่นอ่างยักษ์นี้ต่อไปโดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของ ลูวี ฟัน คาล ผู้จัดการทีม ชาวดัตช์ ที่เข้ามาแทน ทำให้เขาได้เรียนรู้รูปแบบการวางแผนที่ละเอียดอ่อนของชาวดัตช์ผู้นี้ กลยุทธ์ที่เน้นความรอบคอบและรายละเอียดของเกมของคนทั้งสองทำให้บาร์เซโลนาครองแชมป์ ลาลิกา ได้สองสมัยในช่วงที่ฟัน คาล เป็นหัวหน้าผู้ฝึก [ 20 ] ฟัน คาล มองเห็นว่ามูรีนโยมีสัญญาณที่จะเป็นได้มากกว่าผู้ช่วยผู้จัดการจึงปล่อยให้มูรีนโยพัฒนารูปแบบการเป็นผู้ฝึกด้วยตัวเองและมอบหมายหน้าที่ในการเป็นผู้ฝึก ทีมบาร์เซโลนา ชุดเบ ให้กับมูรีนโย [ 21 ] นอกจากนั้นเขายังปล่อยให้มูรีนโยคุมทีมหลัก ( โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการของมูรีนโยเอง ) ในการแข่งขันบางประเภท เช่น โกปากาตาลุญญา ซึ่งมูรีนโยนำทีมชนะในปี ค.ศ. 2000 [ 22 ]
การทำงานในฐานะผู้จัดการ
ไบฟีกา
โอกาสที่จะกลายเป็นผู้จัดการชั้นนำของมูรีนโยมาถึงในเดึนกันยายน ค.ศ. 2000 เมื่อเขาได้รับข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่ในประเทศบ้านเกิดอย่าง ไบฟีกา เพื่อไปแทนที่ ยุพพ์ ไฮน์เคส ซึ่งในขณะนั้นการแข่งขัน ปรีไมราลีกา ผ่านไปแล้ว 4 นัด [ 21 ] มูรีนโยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า
” เมื่อผมได้พูดคุยกับ ฟัน คาล เกี่ยวกับการที่จะกลับไปโปรตุเกสในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการให้กับไบฟีกา เขาพุดว่า “ อย่าไปเลย บอกไบฟิกาว่า ถ้าเขาต้องการผู้ฝึกทีมใหญ่คุณจะไป แต่ถ้าเขาต้องการแค่ผู้ช่วยคุณจะอยู่ที่เดิม ” ” [ 23 ]
อย่างไรก็ดี มูรีนโยออกจากบาร์เซโลนาเมื่อ ฟัน คาล ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการเนื่องจากผลงานไม่ดีในฤดูกาลที่สามกับบาร์เซโลนา และประธานสโมสร โคเซ ลูอิส นูเญซ ซึ่งรับผิดชอบในการดึงตัว ฟัน คาล และ ร็อบสัน มาเป็นผู้จัดการให้กับบาร์เซโลนาลาออกเนื่องจากเหนื่อยกับการถูกกดดัน [ 24 ] หลังจากถึงไบฟีกา มูรีนโยก็ต้องพบกับปัญหาเนื่องจากผู้บริหารต้องการแต่งตั้ง Jesualdo Ferreira เป็นผู้ช่วยผู้ฝึก แต่มูรีนโยปฏิเสธและหยิบ การ์ลุส โมเซร์ อดีตกองหลังทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งเคยมาค้าแข้งกับไบฟีกาถึง 2 ครั้งก่อนไปแขวนสตั๊ดที่ญี่ปุ่นมาเป็นผู้ช่วย [ 25 ] มูรีนโยวิภาควิจารณ์ Jesualdo Ferreira อย่างหนักหน่วงแม้ว่าทั้งสองจะเคยพบกันมาก่อนในฐานะครูกับศิษย์ที่สถาบันการพลศึกษาขั้นสูง ( Instituto Superior de Educação Física ) เขาต่อว่าผู้ฝึกมากประสพการณ์คนนี้ว่า “ นี่อาจจะเป็นเรื่องราวของลาที่ทำงานเป็นเวลา 30 ปี แต่ไม่เคยกลายเป็นม้า ” [ 26 ] เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากได้รับงานที่ไบฟีกา อาจารย์และที่ปรึกษาของมูรินโย เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสันก็เสนอให้เขากลับไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่ นิวคาสเซิล ร็อบสันต้องการความช่วยเหลือของมูรีนโยอย่างหนักถึงขนาดให้สัญญาว่าจะลงจากการเป็นผู้จัดการและยกตำแหน่งแก่มูรีนโยภายในสองปี มูรีนโยปฏิเสธคำเชื้อเชิญโดยบอกว่าเขารู้ว่าร็อบสันไม่มีทางไม่ก้าวลงจากที่สโมสรที่เขารัก [ 27 ] มูรีนโย และ โมเซร์กลายเป็นคู่ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยสามารถถล่ม คู่ปรับร่วมเมือง สปอร์ติงลิสบอน ไปถึง 3-0 ในเดึนธันวาคม [ 28 ] [ 29 ] แต่การทำงานของทั้งคู่ก็ต้องพบกับอุปสรรคหลังประธานสโมสรของไบฟิกา João Vale east Azevedo แพ้การเลือกตั้งภายใน และ Manuel Vilarinho ซึ่งมาแทนประธานสโมสรเดิมบอกว่าเขาจะมอบตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกให้กับอดีตผู้เล่นซึ่งเป็นตำนานของไบฟิกา อังตอนีอู ชูเซ กงไซเซา โอลีไวรา หรือ โตนี [ 21 ] Vilarinho ไม่ได้มีความตั้งใจในการให้มูรีนโยออกจากงานทันที มูรีนโยจึงใช้ชัยชนะเหนือสปอร์ติงลิสบอนของทีมเพื่อทดสอบความภักดีของประธานสโมสรใหม่โดยขอขยายสัญญาการจ้างงานเพิ่มขึ้น [ 28 ] Vilarinho ปฏิเสธคำขอ มูรีนโยจึงลาออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2000 หลังทำงานในลีกไปเพียง 9 นัด เมื่อหวนกลับไปคิดถึงการตัดสินใจครั้งนั้น Vilarinho รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา และกล่าวเกี่ยวกับการสุญเสียมูรีนโยว่า
” หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำตรงกันข้าม ผมจะยอมขยายสัญญาให้เขา ผมพึ่งมาเข้าใจภายหลังว่าชื่อเสียงและความภาคภูมิใจไม่ควรอยู่เหนือผลประโยชน์ของสถาบันที่เรารับใช้ [ 28 ]
อูนีเยาดึไลรีอา
มูรีนโยรับตำแหน่งผู้จัดการจากทีมระดับกลางตารางอย่าง อูนีเยาดึไลรีอา ในเดึนกรกฎาคม ค.ศ. 2001 [ 30 ] ในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการให้ไลรีอา มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสาม และ สี่ ของลีกในเดึนมกราคม โดยหลังจากเอาชนะ Paços de Ferreira ไป 2-1 ในวันที่ 27 มกราคม ไลรีอาขึ้นไปอยู่อันดับสามของตารางด้วยคะแนนนำไบฟีกา และ โปร์ตู หนึ่งแต้ม และตามหลังหลังผู้นำลีกเพียง 3 แต้ม แน่นอนความสำเร็จของมูรีนโย ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรขนาดใหญ่ของโปรตุเกสหลายแห่ง [ 21 ] ไลรีอาสามารถปิดฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตารางซึ่งเป็นอันดับดีที่สุดที่ทีมเคยทำได้ โดยสามารถทำอันดับได้สูงกว่าไบฟีกาที่เพิ่งปลดมูรีนโยจากการเป็นผู้จัดการทีมอีกด้วย
โปร์ตู
ในช่วงปลายเดึนมกราคมปี ค.ศ. 2002 มูรีนโยก็ได้ย้ายที่ทำงานอีกครั้งหลังผลงานการคุมทีมเข้าตา โปร์ตู ยักษ์ใหญ่อีกรายของ โปรตุเกส ที่พึ่งปลด ออกตาวีอู มาชาดู ออกจากสโมสร ในขณะนั้นโปร์ตูเป็นทีมอันดับ 5 ของตารางปรีไมราลีกา ( ตามหลังสปอร์ติงลิสบอน บัววีชตา ไลรีอา และ ไบฟีกา ) ตกรอบโปรตุเกสลีกคัพ และครองตำแหน่งบ๊วยในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มที่สอง หลังจากคุมทีมแข่งขันได้ 15 นัด ( ด้วยสถิติชนะ 11 เสมอ 2 และแพ้ 2 นัด ) มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสามของตารางตอนสิ้นฤดูกาล หลังจากนั้นเขาให้สัญญาว่า “ จะทำให้โปร์ตูเป็นแชมป์ ( ปรีไมราลีกา ) ในปีถัดไป ” มูรีนโยได้ระบุผู้เล่นหลักหลายคนที่เขาเห็นว่าจะเป็นกำลังสำคัญซึ่งทำให้โปร์ตูเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบเช่น วีตอร์ บาอีอา, รีการ์ดู การ์วัลยู, กอชตินยา, เดโก, ดมีตรี อาเลนีเชฟ, แอลดืร์ ปุชตีกา และเรียก ฌอร์ฌือ กอชตา กองหลังกัปตันทีม ( ที่มีปัญหาขัดแย้งกับมาชาดู ) ซึ่ง ชาร์ลตันแอทเลติก ได้เช่ายืมไปในสัญญา 6 เดึนให้กลับมา การเซ็นสัญญานักเตะหน้าใหม่รวมถึง นูนู วาเลงตี และ เดร์เลย์ จากไลรีอา, เปาลู ฟีร์ไรรา จาก วีตอเรียดึซึตูบัล, เปดรู เอมานูเอล จากบัววีชตา และ เอดการัส ยันเคาส์คัส กับ มานีชี ซึ่งทั้งคู่พึ่งหมดสัญญาจากไบฟีกา
ฤดูกาล 2002–03
ในช่วงก่อนการเปิดฤดูการแข่งขัน มูรีนโยได้นำรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมการฝึกขึ้นบนเว็บไซต์ของสโมสร รายงานฉบับนี้เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางการอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า วิ่งเหยาะๆ 20 กม. เขาจะบรรยายด้วยว่าเป็น การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ฉบับพิเศษ รายงานนี้ได้รับคำติเตียนว่าเป็นการเสแสร้ง แต่ขณะที่เดียวกันก็ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นการใช้นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการฝึกมากขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของมูรีนโยในยุคโปร์ตูคือ ความมีไหวพริบดี และ เล่นกดดันซึ่งเริ่มตั้งแต่ในแดนคู่ต่อสู้ เรียกว่า การเล่นกดดันอย่างหนัก “ pressão alta “ ( “ high imperativeness ” ) ความสามารถของร่างกายและการต่อสู้ของกองกลางและกองหลังทำให้โปร์ตูสามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ในแดนของตัวเอง และเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเสียบอลหรือต้องลองส่งบอลไกลที่มีความไม่แน่นอนสูงบ่อยขึ้น ในปีค.ศ. 2003 เขาพาทีมครองแชมป์ปรีไมราลีกาด้วยสถิติ ชนะ 27 นัด เสมอ 5 นัด และแพ้ 2 นัด ทำคะแนนทิ้งห่างไบฟีกาทีมอันดับ 2 ของตารางที่เขาจากมาเมื่อสองปีก่อนถึง 11 แต้ม โดยทำคะแนนรวมได้ 86 จากคะแนนเต็ม 102 และยังถือเป็นสถิติใหม่ของลีกนับตั้งแต่เปลี่ยนการให้คะแนนทีมชนะเป็น 3 คะแนน ( เฉือนของเก่าที่โปร์ตูเคยทำไว้ไปคะแนนเดียว แต่ถูกล้มโดยไบฟิกาในฤดูกาล 2015-16 ด้วยคะแนน 88 คะแนน ) นอกจากนั้นในเดึนพฤษภามคมของปีนั้นเขายังพาทีมครองแชมป์ โปรตุเกสคัพ โดยเอาชนะทีมเก่าไลรีอาในนัดชิงไป 1-0 และแชมป์ ยูฟ่าคัพ โดยยัดเยียดความปราชัยให้ เซลติก ในนัดชิง
ฤดูกาล 2003–04
ฤดูกาลถัดมาโปร์ตูยังคงเล่นได้ดีจากการนำของมูรีนโย โดยสามารถเอาชนะไลลีอาในนัดชิง โปรตุเกสซุปเปอร์คัพ ด้วยคะแนน 1-0 แต่พ่ายแพ้ต่อ เอซี มิลาน ในนัดชิง ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ด้วยคะแนน 1-0 จากการยิงประตูของ อันดรีย์ เชฟเชนโค ในลีก ปรีไมราลีกา โปร์ตูยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่งโดยสามารถจบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใครในบ้านตัวเองเลย มีคะแนนนำทีมที่สองของตาราง 8 คะแนน และได้ตำแหน่งแชมป์ 5 สัปดาห์ก่อนปิดฤดูกาล โปร์ตูพ่ายแพ้ต่อ ไบฟีกา ในรอบชิง โปรตุเกสคัพ แต่เพียงสองสัปดาห์ถัดมาก็ได้ถ้วยรางวัลที่ใหญ่กว่ามาครองด้วยการเอาชนะ โมนาโก ด้วยสกอร์ 3-0 ในการแข่งขันรอบสุดท้ายของ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ อาเรนาเอาฟ์ชัลเคอ ในเมือง เกลเซนเคียร์เชิน ประเทศเยอรมนี โดยก่อนที่จะมาถึงจุดนี้โปร์ตูสามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โอลิมปิกลียง ลาโกรุญญา และพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวให้กับ เรอัลมาดริด ในรอบแบ่งกลุ่ม ในนัดแรกของการแข่งขันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับโปร์ตู เกิดการปะทะคารมระหว่างมูรีนโย และ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังจากที่ รอย คีน ได้รับใบแดงเนื่องจากไปเหยียบตัวของวีตอร์ บาอีอา [ 31 ] ในนัดที่สองขณะที่โปร์ตูกำลังจะพ่ายแพ้ด้วยกฏการยิงประตูทีมเยือน กอชตินยาก็ทำประตูตีเสมอได้โดยเหลือเวลาในการแข่งขันเพียง 30 วินาทีเป็นผลให้โปร์ตูมีคะแนนรวมสองนัดมากกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มูรีนโยถึงกับเฉลิมฉลองการทำประตูอย่างยิ่งใหญ่ ชัยชนะในครั้งนี้ของมูรีนโยที่มีต่อทีมของเฟอร์กูสันเป็นการบอกเป็นนัยถึงการย้ายไป พรีเมียร์ลีก ของมูรีนโย และการแข่งขันกันระหว่างชายทั้งสองคนที่กำลังจะเกิดขึ้น มูรีนโยกล่าวถึงการย้ายไปทำงานให้กับสโมสรในพรีเมียร์ลีกว่า “ ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนและเชลซีไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผมมาก เพราะว่ามันเป็นโปรเจกต์ใหม่ที่ใช้เงินลงทุนสูง ผมคิดว่ามันเป็นโปรเจกต์ที่ถ้าสโมสรไม่สามารถจะชนะทุกอย่าง [ โรมัน ] อับราโมวิช น่าจะเลิกและเอาเงินออกจากสโมสร มันเป็นโปรเจกต์ที่ไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับโค้ชในการที่จะมีเงินจ้างผู้เล่นคุณภาพดี แต่คุณไม่รู้หรอกว่าโครงการแบบนี้จะไปถึงจุดสำเร็จหรือไม่ ” [ 32 ] ตำแหน่งผู้จัดการของ ลิเวอร์พูล ตกเป็นของ ราฟาเอล เบนีเตซ ในขณะที่มูรีนโยยอมรับข้อเสนอชิ้นโตจาก โรมัน อับราโมวิช และสัญญาที่จะให้อนาคตของเขากับเชลซี [ 32 ]
เชลซี
มูรีนโยเริ่มงานอย่างเป็นทางการให้กับ เชลซี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ด้วยสัญญาระยะเวลาสามปีภายหลังจากที่โปร์ตูได้รับค่าตอบแทนมูลค่า 1.7 ล้านปอนด์ [ 33 ] ในช่วงการแถลงข่าวหลังจากได้เริ่มงานกับสโมสรของประเทศอังกฤษแห่งนี้ มูรีนโยกล่าวว่า “ กรุณาอย่าว่าผมอวดดี แต่ผมเป็นแชมป์ยุโรปและผมคิดว่าผมเป็นบุคคลพิเศษ ” ( Please do n’t call me arrogant, but I ‘m european champion and I think I ‘m a particular one ) จึงทำให้สื่อตั้งฉายาให้กับเขาว่า “ บุคคลพิเศษ ” ( The Special One ) [ 34 ] มูรีนโยนำทีมงานเก่าจากโปร์ตูมาร่วมงานประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้จัดการ Baltemar Brito ผู้ฝึกฟิตเนส Rui Faria หัวหน้าแมวมอง André Villas-Boas ผู้ฝึกผู้รักษาประตู Silvino Louro และเก็บอดีตนักเตะของเชลซี สตีฟ คลาร์ก ซึ่งคอยทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการให้กับผู้จัดการคนก่อน ในแง่ของการใช้จ่ายมูรีนโยใช้เงินทุนของ โรมัน อับราโมวิช ต่อจาก เกลาดีโอ รานีเอรี ผู้จัดการคนก่อน โดยใช้เงินกว่า 70 ล้านปอนด์ในการโอนย้ายผู้เล่น อาทิเช่น Tiago ( 10 ล้านปอนด์ ) จากไบฟีกา, มิคาเอล เอสเซียง ( 24 ล้านปอนด์ ) จากโอลิมปิกลียง, ดีดีเย ดรอกบา ( 24 ล้านปอนด์ ) จาก มาร์แซย์, Mateja Kežman ( 5.4 ล้านปอนด์ ) จาก เปเอสเฟ ( พีเอสวี ) และ สองนักเตะจากโปร์ตู รีการ์ดู การ์วัลยู ( 19.8 ล้านปอนด์ ) และ เปาลู ฟือไรรา ( 13.3 ล้านปอนด์ )
ฤดูกาล 2004–05
ภายใต้การจัดการของมูรีนโยเชลซีได้รับการพัฒนาบนรากฐานเดิมที่ได้ถูกสร้างไว้ในฤดูกาลก่อน โดยเพียงแค่ต้นเดึนธันวาคมเชลซีก็ไปถึงจุดสูงสุดของตาราง พรีเมียร์ลีก และเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เขาคว้าแชมป์ถ้วยแรกของปีด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล 3–2 ( หลังต่อเวลาพิเศษ ) ที่ คาร์ดิฟฟ์ ในการแข่งขัน ลีกคัพ โดยในช่วงท้ายของการแข่งขันมูรีนโยถูกนำตัวออกจากข้างสนาม หลังจากวางปลายนิ้วชี้บนริมฝีปากและหันไปในทิศทางของแฟนคลับของลิเวอร์พูลในลักษณะที่เป็นการตอบสนองต่อการเยาะเย้ยที่แฟนคลับของลิเวอร์พูลแสดงออกมาในช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังเป็นฝ่ายนำ ( ก่อนที่จะมีการยิงประตูตีเสมอ ) เชลซีพบกับ บาร์เซโลนา ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยในนัดแรกเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยข้อพิพาทและทีมสิงโตน้ำเงินครามแพ้ในฐานะทีมเยือนด้วยคะแนน 2-1 แต่ในนัดต่อมาทีมสามารถทำแต้มรวมได้ 4-2 เป็นผลให้สามารถผ่านเข้ารอบต่อไป มูรีนโยพลาดโอกาสในการชนะแชมเปียนส์ลีกสองปีซ้อนเมื่อเชลซีพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลในรอบรองชนะเลิศด้วยคะแนน 1-0 และสร้างความเกรียวกราวด้วยประโยค “ ประตูผี ” ( ghost goal ) และ “ ประตูที่มาจากดวงจันทร์ ” ( It was a goal that came from the moon ) ซึ่งเป็นคะแนนเดียวของการแข่งขันโดยผู้ตัดสินยกให้กับการยิงของ ลุยส์ การ์ซีอา ซานซ์ มูรีนโยสามารถทำให้เชลซีได้ แชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปี ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างสถิติใหม่ ๆ ใน การแข่งฟุตบอลของอังกฤษ เช่น การทำคะแนนได้สูงสุดในพรีเมียร์ลีก ( 95 ) และการถูกทำประตูได้น้อยที่สุด ( 15 )
ฤดูกาล 2005–06
เชลซีเริ่มฤดูกาลได้ดีโดยสามารถเอาชนะ อาร์เซนอล ด้วยคะแนน 2-1 ในการแข่งขัน เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ และไปถึงจุดสูงสุดของตารางพรีเมียร์ลีกตั้งแต่สุดสัปดาห์แรกของฤดูกาลแข่งขัน เชลซีชนะคู่แข่งสำคัญแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนน 3-0 เพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และ ถือเป็นชนะเลิศการแข่งขันภายในประเทศครั้งที่ 4 ของมูรีนโย ในงานรับเหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกมูรีนโยโยนเหรียญและเสื้อคลุมเข้าไปในฝูงชน หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเหรียญรางวัลอีกอันภายในไม่กี่นาทีซึ่งเขาก็โยนเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปีนี้ทำได้เพียงผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้าย โดยแพ้ บาร์เซโลนา ตกรอบ พร้อม ๆ กับสร้างความเกรียวกราวด้วยการวิจารณ์ผู้ตัดสินจนถูกปรับเงิน และผู้ตัดสินได้ตัดสินใจแขวนนกหวีดในเวลาต่อมา
ฤดูกาล 2006–07
ฤดูกาล 2006–07 เป็นช่วงเวลาที่สื่อประโคมข่าวว่าจะมูรีนโยอาจจะออกจากสโมสรหลังปิดฤดูกาลแข่งขัน เนื่องจากมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเจ้าของสโมสรโรมัน อับราโมวิช ร่วมถึงมีการแย่งชิงอำนาจกับผู้อำนวยการด้านกีฬา ( sporting film director ) Frank Arnesen และที่ปรึกษาของอับราโมวิช Piet de Visser ในเวลาต่อมามูรีนโยได้เคลียร์ข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของเขาที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยระบุว่ามีเพียงแค่สองทางที่จะทำให้เขาต้องจากเชลซีคือ ( 1 ) ถ้าเชลซีไม่เสนอสัญญาฉบับใหม่ให้ในเดึนมิถุนายน 2010 และ ( 2 ) ถ้าเชลซีไล่เขาออกจากตำแหน่ง [ 35 ] การเซ็นสัญญาซื้อตัวศูนย์หน้าชาวยูเครน อันดรีย์ เชฟเชนโค ในช่วงฤดูร้อนของปี 2006 โดยมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นสถิติใหม่ของสโมสรน่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เกิดการโต้แย้งระหว่างมูรีนโย และ อับราโมวิช ในขณะที่เกิดการเซ็นสัญญาซื้อขาย เชฟเชนโคถือเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุโรปโดยเวลานั้นเขาอยู่กับ มิลาน ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาชนะแชมเปียนส์ลีก และได้รางวัลนักเตะเช่น สคูเดตโต และ บาลงดอร์ เชลซีเคยพยายามเซ็นสัญญากับเชฟเชนโคในช่วงสองปีก่อนหน้านี้แต่มิลานปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอของอับราโมวิช อย่างไรก็ดีฤดูกาลแรกของเชฟเชนโคที่เชลซีถูกมอง ( โดยแฟนคลับ ) ว่าเขาเป็นความน่าผิดหวังอย่างใหญ่หลวงเนื่องจากทำได้เพียง 4 ประตูจากการแข่งขันทั้งหมด 14 นัด
นอกจากนั้นในปีนี้เป็นปีที่ ดีดีเย ดรอกบา คู่ขาของเชฟเชนโคสามารถยิงประตูได้มากที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลจึงเป็นเหตุให้เชฟเชนโคตกจากตำแหน่งกองหน้าตัวจริงในท้ายฤดูกาล ในการแข่งขัน แชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศกับลิเวอร์พูลที่ แอนฟิลด์ มีการสังเกตว่าเชฟเชนโคไม่ได้แม้แต่จะมีชื่ออยู่บนม้านั่งข้างสนาม การเรียกร้องของอับราโมวิชที่จะให้มูรีนโยส่งนักเตะชาวยูเครนผู้นี้ลงเล่นถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ส่งเสริมความขัดแย้งระหว่างชายสองให้มากยิ่งขึ้น นักเตะคนใหม่ที่ได้รับความสนใจสูงนอกเหนือจากเชฟเชนโคคือ กัปตันชาวเยอรมัน มิชาเอล บัลลัค ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ไม่ติดสัญญากับทีมอื่น ( free agent ) จาก บาเยิร์นมิวนิก โดยถูกนำมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองกลาง ในขณะที่กองหน้าชาวไอซ์แลนด์ เอย์ดืร์ กวึดยอนแซน ถูกขายออกเพื่อไปอยู่กับบาร์เซโลนา แม้จะมีปัญหามากมายเกิดขึ้น เชลซีก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขัน ลีกคัพ ได้อีกครั้งโดยเอาชนะ อาร์เซนอล ที่ มิลเลนเนียมสเตเดียม อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ที่จะคว้าถ้วยรางวัลถึง 4 ถ้วยก็ได้หมดไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 เมื่อลิเวอร์พูลกำจัดเชลซีออกจากการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกจากการดวลจุดโทษที่แอนฟิลด์หลังจากผลคะแนนรวมเสมอที่ 1-1 หลังจากนั้นไม่นานเชลซียังไปทำได้เพียงเสมอ 1-1 กับอาร์เซนอลที่ เอมิเรตส์สเตเดียม จึงทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของปีนี้ไปได้ โดยปีนี้ถือเป็นฤดูกาลแรกของมูรีนโยที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกของประเทศหลังจากทำได้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี มูรีนโยนำเชลซีชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนน 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ซึ่งถือเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสนามกีฬาเวมบลีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ และเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของมูรีนโยในการแข่งขันเอฟเอคัพ ดังนั้นจึงหมายความว่าเขารับถ้วยรางวัลการแข่งขันภายในประเทศที่ผู้จัดการทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกสามารถครอบครองได้มาทั้งหมดแล้ว ความขัดแย้งระหว่างมูรีนโย และ อับราโมวิชยังคงดำเนินต่อไปเมื่อ อัฟราม แกรนท์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฟุตบอล ( director of football ) แม้จะได้รับการคัดค้านจากมูรีนโย นอกจากนั้นตำแหน่งของแกรนท์ยังได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยได้ที่นั่งกรรมการบริหารสโมสรอีกด้วย การโอนย้ายในปีต้นปี 2007-08 รวมถึงการออกของ อาร์เยิน โรบเบิน เพื่อไปอยู่กับเรอัลมาดริด และการเข้ามาของกองกลางสัญชาติฝรั่งเศส ฟลอร็อง มาลูดา จากโอลิมปิกลียง
ฤดูกาล 2007–08
นัดแรกของการแข่งขัน พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2007–08 เชลซีสามารถเอาชนะ เบอร์มิงแฮมซิตี ด้วยสกอร์ 3-2 และเป็นการสร้างสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 64 ครั้งติดต่อกันในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก แม้จะสามารถเอาชนะสถิติไม่แพ้ใครในบ้านที่ลิเวอร์พูลเคยทำไว้ระหว่างปีค.ศ. 1978 – 1981 [ 36 ] ได้ก็ตามการเริ่มต้นของเชลซีใน ฤดูกาล 2007–08 ประสบความสำเร็จน้อยกว่าปีก่อน ๆ โดยทีมแพ้ที่บ้านของ แอสตันวิลลา ตามด้วยการทำประตูไม่ได้และจบด้วยการเสมอ 0-0 กับ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ในบ้านตัวเอง การแข่งขัน แชมเปียนส์ลีก นัดแรกในปีนี้เชลซีทำได้แค่เสมอ 1-1 กับ Rosenborg ในบ้านของตัวเองต่อหน้าอัฒจันทร์ที่ว่างเกือบครึ่ง มูรีนโยออกจากเชลซีอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2007 ด้วย “ ความยินยอมร่วมกัน ” แม้ว่าจะมีข้อขัดแย้งมากมายกับเจ้าของสโมสรอับราโมวิช [ 6 ] โดยกรรมการบริหารของเชลซีได้จัดประชุมฉุกเฉินและมีมติว่าจำต้องแยกทางกับเขา มูรีนโยออกจากเชลซีในฐานะผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชลซีโดยทำให้สโมสรได้รับถ้วยรางวัลถึง 6 รางวัลภายในเวลาสามปี และ ไม่เคยแพ้การแข่งขันพรีเมียร์ลีกในบ้าน อัฟราม แกรนท์ รับตำแหน่งผู้จัดการต่อจากมูรีนโยแต่ไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ ได้เลยในปีนี้และถูกปลดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล อย่างไรก็ดีแกรนท์สามารถพาทีมเข้าสู่ รอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ( ซึ่งมูรีนโยไม่สามารถทำได้แม้แต่ครั้งเดียวขณะอยู่กับเชลซีเป็นเวลา 3 ปี ) แต่แพ้ด้วยการดวลลูกจุดโทษชี้ขาดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เนื่องจากมีคะแนนเสมอกัน 1-1 หลังจาก 120 นาทีของการแข่งขัน เขาพาทีมเข้าสู่ รอบชิงชนะเลิศลีกคัพ ( คาร์ลิ่ง คัพ ) และ ไม่เคยแพ้ใครในบ้านตลอดการทำงาน นอกจากนั้นเขายังทำให้เชลซีเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยมีคะแนนห่างจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ได้แชมป์เพียง 2 คะแนน
อินเตอร์มิลาน
มูรีนโยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการของ อินเตอร์มิลาน ในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โดยได้สัญญาสามปีต่อจาก โรแบร์โต มันชีนี และได้พาทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานให้กับเขาที่เชลซีและโปร์ตูมาด้วยเกือบทั้งหมด [ 37 ] [ 38 ] เขาแต่งตั้ง จูเซปเป บาเรซี อดีตผู้เล่นของอินเตอร์มิลาน และ อดีตหัวหน้าโค้ชของทีมเยาวชนให้เป็นผู้ช่วยจัดการ [ 39 ] มูรีนโยใช้ภาษาอิตาลีล้วนระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะบอสของอินเตอร์มิลานโดยอ้างว่าใช้เวลาเรียนรู้ภาษา “ ภายในสามสัปดาห์ ” [ 40 ] มูรีนโยระบุว่าเขาตั้งใจจะเซ็นสัญญานักเตะสำคัญ ๆ เพียงไม่กี่คนในช่วงฤดูร้อน [ 41 ] ในตอนท้ายของช่วงเวลาซื้อขายนักเตะเขาได้ผู้เล่นใหม่มาสามคน ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวบราซิล มังซีนี ( 13 ล้านยูโร ) [ 42 ] [ 43 ] ผู้เล่นกองกลางชาวกานา Sulley Muntari ( 14 ล้านยูโร ) [ 44 ] และ ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวโปรตุเกส Ricardo Quaresma โดยจ่ายเป็นตัวผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวโปรตุเกส Pelé และเงิน 18.6 ล้านยูโร ให้กับโปร์ตู [ 45 ] [ 46 ]
ฤดูกาล 2008–09
มูรีนโยในปี 2008 ในฤดูกาลแรกของการเป็นหัวหน้าโค้ชให้กับอินเตอร์มิลาน มูรีนโยสามารถคว้าชัยในศึก อิตาเลียนซูเปอร์คัพ โดยเอาชนะ โรมา จากการยิงจุดโทษ [ 47 ] และจบฤดูกาลในตำแหน่งสูงสุดของ เซเรียอา อย่างไรก็ตามอินเตอร์มิลานถูกกำจัดในรอบแรกของการแข่งขันแบบแพ้คัดออกในศึก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนนรวม 2-0 นอกจากนั้นเขายังล้มเหลวที่จะคว้าชัยชนะในการแข่งขัน อิตาลีคัพ โดยแพ้ให้กับ ซัมป์โดเรีย ด้วยคะแนนรวม 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ [ 48 ] ขณะที่ ยูฟ่า เริ่มผลักดันสโมสรใหญ่ ๆ ในลีกชั้นนำให้ใช้นักเตะในประเทศให้มากขึ้น มูรินโยก็ได้นำ มารีโอ บาโลเตลลี นักเตะเยาชนกองหน้าอายุ 18 ปีมาเล่นอย่างสม่ำเสมอ และ ยังยกชั้น ดาวิเด้ ซานตอน ผู้เล่นทีมเยาวชนตำแหน่งกองหลังให้เป็นนักเตะทีมใหญ่อย่างถาวร จึงอาจมองได้ว่าเป็นการเพิ่มผู้เล่นสัญชาติอิตาลีให้กับทีมซึ่งก่อนหน้านี้ประกอบด้วยผู้เล่นต่างชาติเสียส่วนใหญ่ นักเตะเยาวชนทั้งสองคนมีส่วนร่วมในฤดูกาลที่อินเตอร์มิลานคว้าสคูเดตโต ( ตำแหน่งแชมป์เซเรียอา ) และ เล่นเกมให้กับทีมมากครั้งพอที่จะได้รับถ้วยรางวัลอาวุโสเป็นครั้งแรกอีกด้วย แม้จะพบความสำเร็จกับการแข่งขันภายในประเทศจากการคว้าสคูเดตโตด้วยการทิ้งห่างคู่แข่งถึงสิบคะแนน แฟนคลับจำนวนหนึ่งของอินเตอร์มิลานยังคงมองว่าผลงานฤดูกาลแรกของมูรีนโยในอิตาลีนั้นน่าผิดหวังเนื่องจากสโมสรยังคงล้มเหลวในพัฒนาผลงานที่ โรแบร์โต มันชีนี ทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกที่อินเตอร์มิลานภายใต้การนำของมูรีนโยทำผลงานไม่ดีนักในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการแพ้ในบ้านอย่างเหลือเชื่อให้กับ ปานาซีไนโกส ด้วยคะแนน 1-0 นอกจากนั้นยังทำได้แค่เสมอที่บ้านของสโมสร Anorthosis Famagusta ม้ามืดจากประเทศไซปรัส อินเตอร์มิลานสามรถเขาไปถึงรอบแพ้คัดออกของแชมเปี้ยนลีก แต่ไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศโดยถูกเขี่ยให้ตกรอบจากการพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มูรีนโยมีผลกระทบกับวงการฟุตบอลอิตาลีอย่างรวดเร็วผ่านความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างเขากับสื่อมวลชนของอิตาลี รวมไปถึงความบาดหมางของเขากับโค้ชดัง ๆ ในเซเรียอา อาทิเช่น การ์โล อันเชลอตตี ซึ่งขณะนั้นอยู่กับมิลาน Luciano Spalletti จากโรมา และ เกลาดีโอ รานีเอรี ของ ยูเวนตุส ระหว่างการแถลงข่าวในเดึนมีนาคม ปี ค.ศ. 2009 มูรีนโยดูถูกโค้ชคู่แข่งสองคนแรกว่าทีมของพวกเขาจะจบฤดูกาลโดยไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น และยังกล่าวหาผู้สื่อข่าวอิตาลีว่าทำตัวเป็น “ โสเภณีทางปัญญา ” ( intellectual prostitution ) ให้กับคนทั้งสอง [ 49 ] การพูดจาโวยวายต่อหน้าสื่อมวลชนนี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง “ การไม่ได้รับเกียรติยศ ” ( zero titles ) ซึ่งมูรีนโยออกเสียงผิดเป็น เซรู ทิทูลี ( zeru tituli ) ( การออกเสียงที่ถูกต้องในภาษาอิตาลี ควรเป็น เซโร ทิโทลี ( zero titoli ) ) ต่อมาคำพูดนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางโดยนักข่าวฟุตบอลในอิตาลี นอกจากนั้นคำ ๆ นี้ยังกลายเป็นวลีที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยแฟนคลับในการเฉลิมฉลองสคูเดตโตครั้งที่ 17 ของอินเตอร์มิลานในช่วงท้ายของฤดูกาล [ 50 ] [ 51 ] แม้กระทั่ง ไนกี้ ก็ยังเลือกใช้คำ ๆ นี้ในการออกตัวเสื้อฉลองแชมป์เซเรียอาของอินเตอร์มิลาน [ 52 ] หลังจากการแข่งขัน โคปปาอิตาเลียนัดชิงชนะเลิศ ในเดึนพฤษภาคมสิ้นสุดลงแฟนคลับของ ลาซีโอ ( คู่แข่งข้ามเมืองของโรมา ) ซึ่งชนะการแข่งขันก็ยังได้สวมเสื้อทีเขียนว่า “ Io campione, tu zero titoli ” ( ฉันเป็นแชมป์ คุณไม่ได้เกียรติยศใด ๆ ) [ 53 ] อ้างถึงคำพูด “ เซรู ทิทูลี ” ของมูรีนโย วันที่ 16 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2009 ถือเป็นวันที่อินเตอร์มิลานครองตำแหน่งแชมป์เซเรียอาเนื่องจากเอซีมิลานทีมอันดับสองในตารางขณะนั้นพ่ายแพ้ให้กับ อูดีเนเซ การแพ้ในครั้งนี้ทำให้ทีมดำ-น้ำเงิน ( หรือ Nerazzurri ฉายาของอินเตอร์มิลาน ) มีเจ็ดคะแนนเหนือเอซีมิลานคู่แข่งข้ามเมืองโดยเหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่สองนัด และในที่สุดอินเตอร์มิลานก็จบฤดูกาลด้วยคะแนนห่างจากเอซีมิลานถึงสิบคะแนน [ 54 ]
ฤดูกาล 2009–10
มีการรายงานเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่ามูรีนโยสนใจที่จะเป็นโค้ชให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่ออเล็กซ์ เฟอร์กูสันเกษียณ โดยมีการอ้างอิงถึงคำพูดของเขาว่า “ ผมคงจะพิจารณาการไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่พวกยูไนเต็ดต้องพิจารณาว่าจะให้ผมสืบทอดต่อจากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันหรือไม่ ถ้าพวกเขาอยากให้เป็นเช่นนั้นผมจะไปอย่างแน่นอน ” [ 55 ] อาเดรียนู ออกจากอินเตอร์มิลานในเดึนเมษายน ปี ค.ศ. 2009 และการจากไปของกองหน้าชาวบราซิลก็ติดตามด้วยคู่หูชาวอาร์เจนตินา Julio Cruz และ เอร์นัน เกรสโป รวมไปถึงการโบกมือลาชีวิตค้าแข้งของกองกลางตัวรุกชาวโปรตุเกสผู้เป็นตำนานและมากด้วยประสพการณ์อย่าง ลูอิช ฟีกู ฟีกูกำลังจะออกจากอินเตอร์อยู่แล้วภายใต้การควบคุมของมันชีนี เนื่องจากได้เวลาลงเล่นน้อย แต่ในฤดูกาลสุดท้ายของเขามูรีนโยให้เขาลงเล่นบ่อยครั้ง มูรีนโยเซ็นสัญญาซื้อ ดิเอโก มิลิโต กองหน้าชาวอาร์เจนตินาจาก เจนัว ซึ่งขาดอีกเพียงประตูเดียวก็จะได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุด รวมถึง ตีอาโก มอตตา และ เวสลีย์ สไนเดอร์ เพื่อหนุนกองกลาง การเซ็นสัญญาที่น่าจะโดดเด่นที่สุดของมูรีนโยในช่วงฤดูร้อนของฤดูกาลที่สองของเขาก็คือ สัญญาเปลี่ยนตัวผุ้เล่นอย่าง ซลาตัน อีบราฮีมอวิช เพื่อแลกกับกองหน้าชาวแคเมอรูน ซามุแอล เอโต ร่วมกับเงิน 35 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสัญญาซื้อขายผู้เล่นที่แพงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การซื้อขายนักเตะ เป็นรองเพียงการย้ายของ คริสเตียโน โรนัลโด จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปยังเรอัลมาดริดนี้ในช่วงต้นฤดูร้อน เอโตเริ่มงานอย่างสวยหรูกับอินเตอร์มิลานทันทีด้วยการทำประตูสองลูกในการแข่งขันสองนัดแรกของฤดูกาล ในปี ค.ศ. 2010 พาอินเตอร์มิลานเข้ารอบชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2009-2010 กับ บาเยิร์นมิวนิก ซึ่งมี ลูวี ฟัน คาล เจ้านายเก่าเป็นกุนซืออยู่ตอนนั้น และได้คว้าแชมป์ไปในที่สุด รวมทั้งได้ 3 แชมป์ ได้แก่ แชมป์ลีกในประเทศ บอลถ้วยในประเทศ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียวกัน จากนั้นก็มีข่าวทันทีว่ามูรีนโยจะไปคุมยอดทีมจากประเทศสเปนนั่นคือ เรอัลมาดริด
เรอัลมาดริด
ในปี ค.ศ. 2010 เขาย้ายมาเป็นผู้จัดการทีม เรอัลมาดริด และต่อมาเขาก็ได้แชมป์ โกปาเดลเรย์ ด้วยการชนะ บาร์เซโลนา ในช่วงต่อเวลาพิเศษไป 1–0 ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 หรือในช่วงฤดูกาล 2011–12 ใน ลาลิกา มูรีนโยนำทีมเรอัลมาดริด คว้าแชมป์ ลาลิกา ได้สำเร็จโดยมีคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน ซึ่งนำห่าง บาร์เซโลนา แชมป์เก่าไปถึง 9 แต้ม ในช่วงต้นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเรอัลมาดริด มูรีนโยนำทีมโค่นบาร์เซโลนาในศึกสแปนิชซูเปอร์คัพ โดยเป็นการเตะ 2 นัด เหย้า-เยือน นั่นเท่ากับว่า มูรีนโยได้คว้าทุกแชมป์ในสเปนภายในระยะเพียง 3 ปี และทั้งหมดคือการโค่นบาร์เซโลนา ไม่ว่าจะเป็นลาลิกา โกปาเดลเรย์ และสแปนิชซูเปอร์คัพ และเป็นการบ่งบอกว่านับตั้งแต่เริ่มทำงานกับสโมสรโปร์ตู ไม่มีปีไหนที่มูรีนโยมือเปล่า และจากไปอย่างยิ่งใหญ่สู่สโมสรเชลซี
Read more: France national football team
เชลซี
เป็นการกลับมาบ้านเก่าอีกครั้งของมูรีนโย โดยเซ็นสัญญาระยะเวลา 4 ปี พร้อมประเดิมนักเตะคนแรก อันเดร เชือร์เลอ ในงานแถลงข่าว นักข่าวถามมูรีนโยว่ารู้สึกอย่างไรที่อันเดรส อีเนียสตา กล่าวว่าเขาทำให้วงการฟุตบอลในสเปนเสื่อมเสีย มูรีนโยตอบว่า เรอัลมาดริดคว้าแชมป์ลาลิกาเหนือบาร์เซโลนาด้วยการทำแต้มสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดวงการฟุตบอลสเปนขึ้นมาร้อยกว่าปี ทำประตู 121 ประตู สูงที่สุดในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในโกปาเดลเรย์ เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในกัมนอว์ ถิ่นของพวกเขา เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในสแปนิชซูเปอร์คัพ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเจ็บสุด ๆ ( They hurted ) มูรีนโยบอกว่าการคุมทีมระดับเชลซีโดยทำได้เพียงคว้าแชมป์ ยูฟ่ายูโรปาลีก ถือเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง เพราะถ้วยนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา เป็นการเหน็บแนม ราฟาเอล เบนีเตซ ตามสไตล์ของเขา ปี 2015 เขาพาเชลซี คว้าแชมป์ลีกคัพ และพรีเมียร์ลีก แต่ผลงานของเชลซี ใน ฤดูกาล 2015–16 ไม่ดีเสียเลย แม้จะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มก็ตาม แต่ผลงานในพรีเมียร์ลีกเมื่อผ่านไป 16 นัด เชลซีแพ้ไปแล้วถึง 9 นัด โดยอยู่ในอันดับที่ 16 ของตารางคะแนน มีคะแนนเหนือทีมที่อยู่ในอันดับ 17 ซึ่งเป็นกลุ่มตกชั้น คือ สวอนซีซิตี เพียงคะแนนเดียว ทำให้ในปลายปี 2015 ทางผู้บริหารเชลซีจึงได้ตัดสินใจปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่ง [ 56 ] ทั้งนี้มีการเปิดเผยถึงสาเหตุของการปลดครั้งนี้ นอกจากผลงานไม่ดีแล้ว มูรีนโยยังมีเหตุทะเลาะกับผู้เล่นหลายคนในทีมอีกด้วย [ 57 ]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
มูรีนโย เข้ามาในฐานะผู้จัดการทีมแทน ลูวี ฟัน คาล หลังจบ ฤดูกาล 2015–16 และเสริมทีมด้วยนักเตะชื่อดังมากมาย ทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, พอล ป็อกบา ใน ฤดูกาล 2016–17 มูรีนโยทำผลงานได้ไม่ค่อยดี และจบอันดับที่6ในพรีเมียร์ลีก แต่มูรีนโยพา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ ยูฟ่ายูโรปาลีก และ คาราบาวคัพ ทำให้ได้โอกาสไปแข่ง ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฐานะแชมป์ ยูฟ่ายูโรปาลีก และในฤดูกาลต่อมา ( ฤดูกาล 2017–18 ) มูรีนโย ไม่สามารถทำทีมได้แชมป์ใดเลย ขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ลีกสามารถจบที่อันดับที่2 ส่วนในฤดูกาลสุดท้ายกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ( ฤดูกาล 2018–19 ) มูรีนโย ทำทีมอยู่ในอันดับกลางของตารางในพรีเมียร์ลีก ถึงแม้จะสามารถทำให้ทีมผ่านเข้าไปแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ก็ตาม แต่มูรีนโย ก็ถูกไล่ออกหลังจากการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2018 ในขณะนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อยู่อันดับที่6 ของตาราง โดยผลการแข่งขันนัดนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-3
สถิติในการจัดการทีม
- ณ วันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2021
สโมสร
ตั้งแต่
ถึง
สถิติ
อ้างอิง
แข่ง
ชนะ
เสมอ
แพ้
ร้อยละที่ชนะ
ไบฟีกา
20 กันยายน ค.ศ. 2000
5 ธันวาคม ค.ศ. 2000
11
6
3
2
0 54.5
[58][59][60]
União de Leiria
กรกฎาคม ค.ศ. 2001
23 มกราคม ค.ศ. 2002
20
9
7
4
0 45.0
[61][62][63]
โปร์ตู
23 มกราคม ค.ศ. 2002
2 มิถุนายน ค.ศ. 2004
127
91
21
15
0 71.7
[62][33][64]
เชลซี
2 มิถุนายน ค.ศ. 2004
20 กันยายน ค.ศ. 2007
185
124
40
21
0 67.0
[65]
อินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน
2 มิถุนายน ค.ศ. 2008
28 พฤษภาคม ค.ศ. 2010
108
67
26
15
0 62.0
[66][65]
เรอัลมาดริด
31 พฤษภาคม ค.ศ. 2010
1 มิถุนายน ค.ศ. 2013
178
128
28
22
0 71.9
[67][68][65]
เชลซี
3 มิถุนายน ค.ศ. 2013
17 ธันวาคม ค.ศ. 2015
136
80
29
27
0 58.8
[65]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
27 พฤษภาคม ค.ศ. 2016
18 ธันวาคม ค.ศ. 2018
144
84
32
28
0 58.3
[65]
ทอตนัมฮอตสเปอร์
20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019
19 เมษายน ค.ศ. 2021
86
44
19
23
0 51.16
[65]
ทั้งหมด
995
633
204
158
0 63.6
—
เกียรติยศ
ผู้จัดการทีม
- โปร์ตู
- เชลซี
- อินเตอร์มิลาน
- เรอัลมาดริด
- แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เชิงอรรถ
- ↑ ในภาษาอังกฤษออกเสียง
/ʒəʊˈzeɪ mʊˈriːnjəʊ/
หรือ
/ʒoʊˈzeɪ mʊˈriːnjoʊ/
Read more: Real Sociedad
. Longman Dictionary of Contemporary English fifth edition. [ DVD-ROM ]. London : Pearson Education, 2009 .