เจมส์ ยูจีน แคร์รี ( อังกฤษ : James Eugene Carrey เกิดวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2505 ) เป็น นักแสดง, ผู้เขียนบท และ โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ชาว แคนาดา – อเมริกัน โดยเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างมากจากการแสดงบทบาทตลก จิม แคร์รีย์ เริ่มมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการแสดงเป็นครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2533 เมื่อได้ร่วมแสดงใน ละครโทรทัศน์ เรื่อง อิน ลีฟวิง คัลเลอร์ (In Living Color) ที่ออกอากาศทางสถานี ฟ็อกซ์ ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างมากในปี พ.ศ. 2537 เมื่อได้รับบทบาทเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่องได้แก่ เอซ เวนทูร่า นักสืบซูเปอร์เก๊ก (Ace Ventura:Pet Detective), ใครว่าเราแกล้งโง่ หือ? (Dumb and Dumber) และ หน้ากากเทวดา​ โดยภาพยนตร์เรื่องหน้ากากเทวดา จิม แคร์รีย์ ได้แสดงคู่กับนางเอกอย่าง คาเมรอน ดิแอซ และทำรายได้มากถึง 350 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2538 จิม แคร์รีย์ ได้หันไปรับบทเป็นตัวละครวายร้ายอย่าง เดอะ ริดเลอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ และได้กลับมารับบทบาทเป็นนักแสดงนำอีกครั้งใน เอซ เวนทูร่า 2 ซูเปอร์เก๊กกวนเทวดา (Ace Ventura 2:When Nature Calls) และ ขี้จุ๊เทวดาฮากลิ้ง (Liar Liar)

โดยปี พ.ศ. 2541 จิม แคร์รีย์ ได้เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง ​ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ ​ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และทำให้เขาได้รับรางวัล เอ็มทีวีมูวีอะวอดส์ ในฐานะนักแสดงชายยอดเยี่ยม และยังได้รับ รางวัลลูกโลกทองคำ เป็นครั้งแรกในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดรามา ปี พ.ศ. 2542 จิม แคร์รีย์ ได้แสดงในภาพยนตร์ ชีวประวัติ ของ แอนดี คอฟแมน เรื่อง ดังก็ดังวะ (Man on the Moon) ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ แต่ก็ทำให้เขาได้รับ รางวัลลูกโลกทองคำ เป็นครั้งที่ 2 ในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก จากนั้นได้แสดงเรื่อง เดี๋ยวดี เดี๋ยวเพี้ยน เปลี่ยนร่างกัน (Me, Myself & Irene), เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง, ผู้ชาย 2 อดีต ปี พ.ศ. 2546 จิม แคร์รีย์ ได้แสดงนำคู่กับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในเรื่อง Bruce Almighty -​ 7 วันนี้พี่ขอเป็นพระเจ้า​ ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดที่เขาเคยแสดง เมื่อทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นได้มีผลงานการแสดงนำในภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเช่น ลบเธอ…ให้ไม่ลืม (Eternal Sunshine of the Spotless Mind) ที่แสดงคู่กับ เคต วินสเล็ต, เลโมนี สนิกเก็ต อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย, โดนอย่างนี้ พี่ขอปล้น, 23 รหัสช็อคโลก, คนมันรุ่ง เพราะมุ่งเซย์เยส รวมถึงผลงานการพากย์เสียงใน ภาพยนตร์การ์ตูน เรื่อง ฮอร์ตัน กับ โลกจิ๋วสุดมหัศจรรย์ ในปี พ.ศ. 2552 จิม แคร์รีย์ เปลี่ยนบทบาทมาเล่นภาพยนตร์ในแนวชายรักชายเรื่อง รักนะ นายมอริส (I Love You Phillips Morris) แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยถูกฉายแบบจำกัดโรงภาพยนตร์รวมทั้งถูกสั่งห้ามฉายในบางประเทศ อย่างไรก็ดีการแสดงของเขากลับมาทำรายได้อย่างสูงอีกครั้งในภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์แอนิเมชัน แนว แฟนตาซี เรื่อง อาถรรพ์วันคริสต์มาส (A Christmas Carol) ที่ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะมีผลงานการแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง เพนกวินน่าทึ่งของนายพ็อพเพอร์ และภาพยนตร์ภาคต่อของ Dumb and Dumber ที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกที่เขาเคยแสดงไว้ถึง 20 ปี อย่าง Dumb and Dumber To ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 เขาได้หันมาแสดงในภาพยนตร์แนวฆาตกรรม-สืบสวนสอบสวน เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง วิปริตจิตฆาตกร (Dark Crime) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2561 เขาได้กลับไปแสดง ละครโทรทัศน์ อีกครั้ง ในละครเรื่อง Kidding ออกอากาศทางช่อง Showtime
จิม แคร์รีย์ เกิดที่เมืองนิวมาร์เก็ต, รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เป็นบุตรชายของคาทลีน และ เพอร์ซี แคร์รีย์ มีพี่ชาย 1 คน และพี่สาว 2 คน คือ จอห์น, แพทริเซีย และริต้า โดยเพอร์ซี แคร์รีย์ พ่อของเขามีอาชีพเป็น นักบัญชี และแม่ของเขาทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน [ 1 ] [ 2 ] ครอบครัวของเขานับถือ ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก [ 3 ] [ 4 ] แม่ของเขามีเชื้อชาติ ฝรั่งเศส, ไอริช และ สกอตติช ส่วนพ่อของเขามีบรรพบุรุษเป็น ชาวฝรั่งเศส – แคนาดา ( นามสกุลเดิมของครอบครัวคือ คาร์เร (Carré) ) จิม แคร์รีย์ เคยใช้ชีวิตอยู่ที่เบอร์ลิงตัน ใน รัฐออนแทรีโอ เป็นเวลา 8 ปี และศึกษาในชั้น มัธยมศึกษา จากโรงเรียนมัธยมอัลเดอร์ช็อต โดยใน พ.ศ 2550 เขาเคยให้สัมภาษณ์ผ่านทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เดอะ แฮมิลตัน สเปคเตเตอร์ เล่าถึงช่วงเวลาในอดีตว่า หากเขาไม่ได้งานแสดงโชว์ เขาคงจะไปทำงานอยู่ในโรงงานผลิตเหล็กที่ชื่อโดฟาสโก ซึ่งตั้งอยู่ในย่านแฮมิลตัน, เมืองโตรอนโต โดยเขาเคยมองข้ามฟากจากอ่าวเบอร์ลิงตันที่เขาอยู่ไปยังแฮมิลตัน และเห็นโรงงานผลิตเหล็กตั้งอยู่ ทำให้เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นงานที่ดีที่สุดในขณะนั้น จิม แคร์รีย์ มีนิสิยทะลึ่งทะเล้นตั้งแต่เด็ก ในสมัยเป็นนักเรียนเขาได้เล่นตลกหน้าชั้นเรียนอยู่เสมอจนแม้แต่ครูยังให้แครีย์ฉายเดี่ยวเล่นตลกให้เพื่อนดูทุกวัน วันละ 15 นาทีในชั่วโมงสุดท้ายของการเรียน จนอายุ 14 ปี พ่อของเขาถูกปลดออกจากงานบัญชี ต้องย้ายครอบครัวจาก เมืองโตรอนโต ไปอีกเมืองเพื่อรับงานด้านรักษาความปลอดภัยในโรงงาน เป็นช่วงที่แคร์รีเครียดมาก และยังต้องช่วยพ่อทำงานในโรงงานด้วยวันละ 8 ชั่วโมง ทำให้ผลงานเรียนตกลง เขาจึงลาออกจากโรงเรียนและเลิกทำงานที่โรงงาน จากนั้นจึงกลับไปยังโตรอนโต เพื่อไปสมัครเล่นตลกตามร้านอาหาร

Read more: Willem Dafoe

การแสดงตลกของจิม แคร์รีย์ บนเวทีได้รับความสนใจและเริ่มเป็นที่ชื่นชอบ จนได้รับคำชมเชยจากนักสือพิมพ์โตรอนโต สตาร์ ก่อนที่การแสดงของเขาจะไปสะดุดตา รอดนี แดนเจอร์ฟิลด์ นักแสดงตลกชื่อดัง โดยแดนเจอร์ฟิลด์ได้ให้จิม แคร์รีย์ มาแสดงเปิดในการแสดงของเขาบนเวที และต่อมาได้ชักชวนให้ไปแสดงร่วมกันที่ เมืองลาส เวกัส สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามจิม แคร์รีย์ ตัดสินใจย้ายไปแสวงหาโชคจากการเล่นตลกที่ ฮอลลีวูด แทน โดยเขาได้งานแสดงตลกที่ เดอะ คอมเมดี สโตร์ ซึ่งเป็นคลับใน ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อมา จิม แคร์รีย์ ได้ให้ความสนใจในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์จึงไปสมัคร ออดิชัน ​เพื่อเข้าร่วมในรายการ แซตเทอร์เดย์ ไนต์ ไลฟ์ ใน พ.ศ. 2523 แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก ก่อนที่ในปีต่อมาเขาจะได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในฐานะตัวประกอบของภาพยนตร์แคนาดาเรื่อง All in Good Taste แต่เมื่อถ่ายทำเสร็จกลับไม่ได้เข้าฉาย ( ภายหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำกลับมาฉายใน โรงภาพยนตร์ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 ) ในปี พ.ศ. 2526 เขาได้รับบทบาทนักแสดงนำเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Copper Mountain และยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องซีบีซีของ ประเทศแคนาดา ในเรื่อง Introducing Janet ( ภายหลังเมื่อจิม แคร์รีย์มีชื่อเสียง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำกลับมาผลิตและจำหน่ายในรูปแบบ วิดีโอเทป และเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Rubber Face โดยในประเทศไทยใช้ชื่อว่า วัยหวาน สู้เพื่อฝัน ) จากนั้นในปี พ.ศ. 2527 เขาได้แสดงใน ละครโทรทัศน์ แนว ซิตคอม ที่ออกอากาศผ่านทาง บริษัทการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งชาติ ( เอ็นบีซี ) ของ สหรัฐอเมริกา เรื่อง The Duck Factory และหลังจากที่ละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวจบลง เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Once Bitten ในปี พ.ศ. 2528 ก่อนจะได้รับบทบาทตัวประกอบในภาพยนตร์ที่กำกับโดย ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา เรื่อง รักนั้น หากเลือกได้ (Peggy Sue Got Married) ที่นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ ในปี พ.ศ. 2529 จากนั้นได้รับบทเป็นดาราติดยาในภาพยนตร์ของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง โพยสั่งตาย (The Dead Pool) ในปี พ.ศ. 2531 จิม แคร์รีย์ ได้รับบทเด่นในภาพยนตร์เรื่อง Earth Girls Are Easy ( พ.ศ. 2532 ) ที่แสดงร่วมกับ เจฟ โกลบลูม และจีนา เดวิส แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนกระทั่งในปีต่อมาเขาหันกลับไปเล่นละครแนว ซิตคอม ทางโทรทัศน์อีกครั้งในเรื่อง In Living Color ที่ออกอากาศทางสถานี ฟ็อกซ์ นานถึง 4 ปี และได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้จิม แคร์รีย์ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักแสดงตลก
จากบทบาทการแสดงของเขาใน ซิตคอม เรื่อง In Living Color ทำให้ในปี พ.ศ. 2537 เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในเรื่อง เอซ เวนทูร่า นักสืบซูเปอร์เก๊ก (Ace Ventura:Pet Detective) ของค่าย วอร์เนอร์บราเธอร์ส และยังได้แสดงนำเรื่อง ใครว่าเราแกล้งโง่ หือ? (Dumb and Dumber) รวมถึงเรื่อง หน้ากากเทวดา (The Mask) ของค่าย นิวไลน์ซินีมา ที่ออกฉายในปีเดียวกัน ซึ่งนับว่าภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถทำรายได้รวมกันมากถึง 700 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ปี พ.ศ 2538 เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ที่กำกับโดย โจเอล ชูมาเกอร์ อย่าง แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ โดยเขารับบาทเป็น ริดเลอร์ ตัวละครวายร้าย ที่ต้องต่อกรกับ แบทแมน และในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แสดงภาพยนตร์ภาคต่อของเอซ เวนทูร่า อย่าง เอซ เวนทูร่า 2:ซูเปอร์เก๊กกวนเทวดา (Ace Ventura :When Nature Calls) ซึ่งได้รับคำชมเชยและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเมื่อทำรายได้ถึง 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จิม แคร์รีย์ ได้มีโอกาสแสดงในภาพยนตร์แนวตลกร้ายหรือ Black Comedy ที่กำกับโดย เบน สติลเลอร์ เรื่อง เป๋อ จิตไม่ว่าง (The Cable Guy) ในปี พ.ศ. 2539 โดยเขาแสดงเป็นช่างติดเคเบิลโทรทัศน์ที่มีบุคลิกเป็นคนเก็บกด, ขี้เหงาและไร้เพื่อน ซึ่งหวังจะใช้ลูกค้าของเขา ( แสดงโดย แมททิว บรอเดริก ) มาเติมเต็มชีวิตในส่วนที่ขาด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการแสดงบทบาทตลกที่ต่างไปจากเรื่องก่อนๆที่เขาเคยแสดง ทำให้ทำรายได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับเรื่องก่อนๆที่เขาเคยเล่น โดยทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามเขาได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก โดยใช้เพลง Somebody to Love ซึ่งต้นฉบับเดิมเป็นงานเพลงของวง Jefferson Airplane

ปี พ.ศ. 2540 เขาได้แสดงในเรื่อง ขี้จุ๊ เทวดาฮากลิ้ง (Liar Liar) ซึ่งรับบทเป็น ทนายความ ที่เคยชินกับการโกหกทุกๆคนรอบตัว แต่กลับต้องพบกับสภาวะที่ไม่สามารถโกหกได้เป็นเวลา 1 วันจากพรที่ลูกชายของเขาขอในวันเกิด นำมาซึ่งเรื่องราวยุ่งยากต่างๆมากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จและทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลลูกโลกทองคำ ในฐานะนักแสดงชายยอดเยี่ยม
จิม แคร์รีย์ ได้แสดงนำในภาพยนตร์ตลกแนว เสียดสี เรื่อง ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ ในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล เอ็มทีวีมูวีอะวอดส์ ในฐานะนักแสดงชายยอดเยี่ยม และได้รับ รางวัลลูกโลกทองคำ เป็นครั้งแรกในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดรามา อีกทั้งยังประสบความสำเร็จทางรายได้เมื่อทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่เขาจะคว้ารางวัลนี้ได้เป็นสมัยที่ 2 ในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก จากการแสดงนำในภาพยนตร์ ชีวประวัติ ของแอนดี คอฟแมน เรื่อง ดังก็ดังวะ (Man on the Moon) ในปี พ.ศ. 2542
จิม แคร์รีย์ แต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง โดยเขาแต่งงานครั้งแรกกับเมลิซ่า โวเมอร์ และมีลูกสาว 1 คน คือเจน เอริน แคร์รี่ย์ ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าขาดจากกัน จากนั้นได้แต่งงานเป็นครั้งที่สองกับ ลอเรน ฮอลลี​ นางเอกที่เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง ใครว่าเราแกล้งโง่ หือ ? ( Dumb and Dumber ) ต่อมาจิม แคร์รีย์ ก็ได้หย่าร้างกัน [ 5 ]