คำว่า “ อิงแลนด์ ” ( England ) มาจากชื่อ อิงลาแลนด์ หมายถึง “ ดินแดนแห่ง แองเกิล “ [ 9 ] ซึ่งชาวแองเกิลเป็นชนเผ่าหนึ่งในบรรดาชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่าที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 6
ภาค, เทศมณฑล, และ เขต [แก้ ]
ในเชิงภูมิศาสตร์ อังกฤษกินพื้นที่ถึงสองในสามของเกาะบริเตนใหญ่ทางตอนกลางและทางใต้ รวมทั้งเกาะนอกชายฝั่ง เช่น ไอล์ออฟไวท์และไอล์สออฟซิลลี มีพรมแดนติดกับประเทศอื่น ๆ อีกสองประเทศของ สหราชอาณาจักร : ทางเหนือติด สกอตแลนด์ และทางตะวันตกติด เวลส์ อังกฤษอยู่ใกล้ ทวีปยุโรป มากกว่าส่วนอื่นๆ ของแผ่นดินใหญ่ของสหราชอาณาจักร มันถูกแยกออกจาก ฝรั่งเศส ( Hauts-de-France ) ด้วยช่องว่างทะเล 21 ไมล์ ( 34 กม. ) แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ช่องแคบใกล้โฟล์คสโตน อังกฤษยังมีชายฝั่ง ทะเลไอริช ทะเลเหนือ และ มหาสมุทรแอตแลนติก [ 10 ] [ 11 ] ท่าเรือต่างๆ ของลอนดอน ลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิล ตั้งอยู่บน แม่น้ำเทมส์ เมอร์ซีย์ และไทน์ตามลำดับ ที่ 220 ไมล์ ( 350 กม. ) แม่น้ำเวิร์นเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดที่ไหลผ่านอังกฤษและลงสู่บริสตอลแชนเนลและมีชื่อเสียงในเรื่อง Severn Bore (น้ำขึ้นน้ำลง) ซึ่งสามารถสูงถึง 2 เมตร ( 6.6 ฟุต ) อย่างไรก็ตาม แม่น้ำที่ยาวที่สุดในอังกฤษทั้งหมดคือแม่น้ำเทมส์ ซึ่งมีความยาว 215 ไมล์ ( 346 กม. ) มีทะเลสาบหลายแห่งในอังกฤษ ที่ใหญ่ที่สุดคือ วินเดอร์เมียร์ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของอังกฤษประกอบด้วยเนินเขาและที่ราบต่ำ [ 12 ] โดยมีภูมิประเทศเป็นที่สูงและเป็นที่ราบสูงทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของประเทศ พื้นที่สูงทางตอนเหนือ ได้แก่ Pennines ซึ่งเป็นที่ราบสูงที่แบ่งระหว่างตะวันออกและตะวันตก เทือกเขา Lake District ใน Cumbria และ Cheviot Hills ที่ครอบคลุมพรมแดนระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์ จุดที่สูงที่สุดในอังกฤษที่ 978 เมตร ( 3,209 ฟุต ) คือ Scafell Pike ใน Lake District
เนื่องจากประเทศอังกฤษจัดเป็นประเทศที่เป็น หมู่เกาะ ดังนั้นจึงมีอากาศเปลี่ยนแปลงมากและมีฝนตกอยู่เรื่อยๆ ซึ่งสภาพภูมิอากาศทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษจะมีอากาศหนาวมากกว่าทางอังกฤษ ตอนใต้ เดือนที่ฝนตกน้อย คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม 1-4 องศาเซลเซียส และมีอุณหภูมิสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคม 18 องศาเซลเซียส ประเทศอังกฤษ มีทั้งหมด 4 ฤดูกาล ได้แก่ : [ 13 ] [ 14 ] ฤดูร้อน (Summer): จะอยู่ในระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคมซึ่งสภาพในช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและแสงแดดจัดจ้าซึ่งอาจจะมีบางวันที่อุณหภูมิจะเย็นลง ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn): จะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน – พฤศจิกายนอุณหภูมิในช่วงนี้จะเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ใบไม้เริ่มมีการเปลี่ยนสีและร่วงหล่นซึ่งสภาพอากาศจะไม่หนาวมากเพราะในช่วง เดือนกันยายนจัดว่าอากาศจะยังคงความอบอุ่นซึ่งอุณหภูมิจะเริ่มเปลี่ยนแปลง จริงๆในช่วงปลายเดือนตุลาคม ฤดูหนาว (Winter): จะอยู่ในระหว่างเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์โดยสภาพอากาศในช่วงนี้จัดได้ว่ามีสภาพอากาศที่หนาวมากที่สุดมี หิมะตกในบางพื้นที่ซึ่งระยะเวลากลางคืนจะยาวกว่ากลางวันและมืดเร็วกว่าปกติ ฤดูใบไม้ผลิ (Spring): จะอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ถือว่าเป็นฤดูกาลที่มีสภาวะ อากาศที่แปรปรวนและอากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย บางวันก็จะมีอากาศที่อบอุ่นไปด้วยแสงแดดในช่วงเช้าแต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เป็นหนาวเย็นหรือฝนตกในช่วงบ่ายๆ
มนุษย์โบราณได้เข้ามาตั้งรกรากบริเวณแคว้นอังกฤษหลายพันปีก่อนคริสตกาล จากนั้นถัดมาเป็นจูเลียสซีซาร์ ชาวโรมันยึดครองอังกฤษประมาณ ค. ศ. 43 และปกครองอังกฤษไปจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน [ 15 ] Angles, Saxons และ Jutes เริ่มอพยพเข้ามาและสร้างอาณาจักร Anglo Saxon Kingdom ขึ้นในศตวรรษที่ 7 หลังจากการยึดครอง ไวกิงชาวเดนมาร์คเริ่มมาอังกฤษและเข้าควบคุมทางการทหาร ในศตรรรษที่ 11 วิลเฮล์มผู้พิชิตยึดพื้นที่ได้จนถึงชายฝั่งทางตอนใต้ของอังกฤษและพิชิตแผ่นดินพร้อมกับกองทัพเร่ร่อน สงคราม ‘ร้อยปี ‘ กับฝรั่งเศสเริ่มขึ้นในศตวรรษต่อมา ความขัดแย้งระหว่างรัชทายาทกับราชบัลลังก์ และราชวงศ์กับคริสตจักรก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ในศตวรรษที่ 16 เรื่องการสมรสของ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นำไปสู่การยุติความสัมพันธ์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิก รัฐสภาเสนอชื่อเฮนรี่ที่ 8 ขึ้นเป็นผู้นำของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ อังกฤษยังมีอาณานิคมนับเป็นของตนเองอีกนับไม่ถ้วน อาณานิคมเหล่านี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งอเมริกา บริษัทอินเดียตะวันออก ( East India Company ) รวมทั้งใน แคนาดา และ ออสเตรเลีย อังกฤษพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 เมืองอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นใน Midlands และเป็นส่วนในการช่วยผลักดันการค้าระหว่างประเทศ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษมีมหาอำนาจมากที่สุดในโลกในช่วงเวลาเวลา ค. ศ. 1837 ถึง 1901 อังกฤษเป็นหนึ่งในพันธมิตรใน สงครามโลกครั้งที่สอง และมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะ นาซีเยอรมนี ( Nazi Germany ) [ 16 ] [ 17 ]
สหราชอาณาจักรมี พระมหากษัตริย์ เป็น ประมุข และสัญลักษณ์ของประเทศ [ 18 ] ( ปัจจุบันประมุขคือ สมเด็จพระราชินี อลิซาเบธที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ ) โดยใช้อำนาจ นิติบัญญัติ ด้วยการลง พระปรมาภิไธย ในกฎหมายต่างๆ [ 19 ] และแม้จะไม่มีอำนาจใดๆ ทาง การเมือง แต่ก็ทรงใช้อำนาจการบริหารผ่าน คณะรัฐมนตรี ได้ นอกจากนี้ ทรงมีอำนาจในการเรียกประชุม หรือ ยุบสภา ตลอดจนให้ความเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิที่จะได้รับทราบถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานทุกสัปดาห์บทบาทที่สำคัญทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การกล่าวพระราชดำรัสต่อที่ประชุมรัฐสภาในการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งถือว่าพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล
ประเทศอังกฤษ เป็นแม่แบบของการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย แบบ รัฐสภา และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การมีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร [ 20 ] [ 21 ] อันเนื่องมาจากการที่ประเทศอังกฤษมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองที่มีพัฒนาการมาเป็นเวลายาวนาน กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ คือ อังกฤษเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ( Unwritten Constitution ) ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองต่างๆ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นรัฐธรรมนูญเฉพาะ แต่กระจายอยู่ตามกฎหมายต่างๆ และคำพิพากษาต่างๆ รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติที่ สืบทอดกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณี ดังนั้น จึงมีความยืดหยุ่น สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งที่กล่าวมานี้ทำให้รัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการยาวนานของระบอบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจของกลุ่ม และชนชั้นต่างกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษจึงเป็นการค่อยๆ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ลงที่ละเล็กละน้อย ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญอังกฤษในยุคแรกเป็นการดุลอำนาจระหว่างพระมหากษัตริย์กับกลุ่ม ขุนนาง ต่อมาในศตวรรษที่ 19 มีรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางมากขึ้น เรื่อยมาจนเป็นรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 20 [ 22 ]
รัฐสภา ของอังกฤษมีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เมื่อมีบทบัญญัติแมคนาคาร์ตา ซึ่งทำให้พระมหากษัตริย์ต้องทรงรับฟังคำปรึกษาหรือจากขุนนาง และผู้นำชุมชน การเข้าเฝ้าเพื่อให้คำปรึกษานั้นจึงเป็นที่มาของการเกิดรัฐสภาอังกฤษ ในระยะแรกเริ่มรัฐสภาจะมีกษัตริย์เข้าร่วมประชุมด้วยเสมอ แต่ในสมัยต่อมาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในรัฐสภาเป็นเพียง พิธีการ เท่านั้น จากวิวัฒนาการความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทำให้สถาบันทางการเมืองของอังกฤษมีความมั่นคง และมีเสถียรภาพ รัฐสภาจึงเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของระบบการเมือง และการปกครองของอังกฤษ เป็นสถาบันที่ขาดไม่ได้ในระบอบการเมืองอังกฤษและได้กลายเป็นแบบอย่างของการปกครองแบบรัฐสภาในหลายๆ ประเทศทั่วโลก รัฐสภาสหราชอาณาจักรมี อำนาจ หลักในการบัญญัติกฎหมายขึ้น เพื่อบังคับแก่กิจการทั้งปวง รวมทั้งบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองให้มีผลเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรด้วย
องค์กรสูงสุดของฝ่ายบริหารในระบอบประชาธิปไตยแบบ รัฐสภาอังกฤษ คือ รัฐบาลซึ่งทำหน้าที่หลักรับผิดชอบในการบริหารงานของประเทศ [ 23 ] โดยมีนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรีอื่นๆ ทั้งหมด ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หัวหน้า พรรคการเมือง ซึ่งได้จำนวนที่นั่งข้างมากในสภาสามัญชน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาสามัญชนหัวหน้าพรรคนั้น จะได้รับแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ให้เป็น นายกรัฐมนตรี ( Prime Minister ) และได้รับมอบหมายให้จัดตั้งคณะรัฐบาล [ 24 ] [ 25 ] นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการสรรหาบุคคลเป็น รัฐมนตรี ( Minister ) เพื่อประกอบขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรี ( Cabinet ) โดยเสนอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน มักเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปกติจะถูกเลือกจากบุคคลในพรรคของตนเพื่อเสถียรภาพทางการเมืองโดยนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาจากการยอมรับในตัวรัฐมนตรี ของสมาชิกรัฐสภา สมาชิกพรรค และประชาชน รวมถึงการให้โอกาสแก่นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความสามารถได้เป็นรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีซึ่งเป็นสมาชิกของสภาขุนนางด้วย เพื่อเป็นโฆษกในการอธิบายนโยบาย และการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลต่อสภาขุนนาง หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี อย่างเช่น รายงานกิจการงานฝ่ายบริหารต่อองค์พระประมุข รวมทั้งเป็นประธานของคณะรัฐมนตรีควบคุมงานของทุกกระทรวง ตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งของกระทรวงต่างๆและอนุมัติการตัดสินใจที่สำคัญของกระทรวงต่างๆ ในกรณีที่ไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
เศรษฐกิจ ของอังกฤษเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งและมีพลวัตมากที่สุดในโลก [ 28 ] [ 29 ] โดยมี จีดีพี เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 28,100 ปอนด์หรือ 36,000 ดอลลาร์ กระทรวงการคลังมีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาและดำเนินการตามนโยบายการเงินสาธารณะและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล มักถูกมองว่าเป็นเศรษฐกิจแบบตลาดผสม โดยได้นำหลักการตลาดเสรีมาใช้หลายอย่าง [ 30 ] แต่ยังคงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านสวัสดิการสังคมขั้นสูงไว้ได้ สกุลเงินอย่างเป็นทางการในอังกฤษคือ ปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งมีรหัส ISO 4217 คือ GBP การเก็บภาษีในอังกฤษค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของยุโรป โดยในปี 2014 อัตราภาษีส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 20 % จากรายได้ที่ต้องเสียภาษีซึ่งสูงกว่าค่าเผื่อปลอดภาษีส่วนบุคคลถึง 31,865 ปอนด์ ( ปกติ 10,000 ปอนด์ ) เศรษฐกิจของอังกฤษเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ สหราชอาณาจักร ซึ่งมี จีดีพี และ พีพีพี ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับที่ 18 ของโลก [ 31 ] อังกฤษเป็นผู้นำในภาคเคมี และ เภสัชกรรม และในอุตสาหกรรมทางเทคนิคที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบินและ อวกาศ อุตสาหกรรมอาวุธ และด้านการผลิตของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ลอนดอนซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ตลาดหลักทรัพย์หลักของสหราชอาณาจักรและใหญ่ที่สุดในยุโรป [ 32 ] [ 33 ] เป็นศูนย์กลางทางการเงินของอังกฤษ โดยมีบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 100 แห่งจาก 500 แห่งใน ยุโรป ตั้งอยู่ที่นั่น ลอนดอนเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และในปี 2014 นั้นใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แมนเชสเตอร์เป็นภาคส่วนบริการทางการเงินและวิชาชีพที่ใหญ่ที่สุดนอกลอนดอน และเป็นเมืองหลวงของไพรเวทอิควิตี้ระดับกลางของยุโรป เช่นเดียวกับศูนย์กลางเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตแห่งหนึ่งของยุโรป [ 34 ] ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1694 โดยนาย William Paterson นายธนาคาร ชาวสก็อต เป็นธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในฐานะนายธนาคารเอกชนของรัฐบาลอังกฤษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นสถาบันของรัฐ ธนาคารมีการผูกขาดในเรื่องของธนบัตรในอังกฤษและเวลส์ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในส่วนอื่น ๆ ของสหราชอาณาจักรก็ตาม รัฐบาลได้มอบความรับผิดชอบให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารในการบริหารนโยบายการเงินของประเทศและกำหนดอัตรา ดอกเบี้ย ท่าเรือลอนดอน ยังถือเป็นศูนย์กลาง การคมนาคม ที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ สหราชอาณาจักร [ 35 ] ตั้งอยู่บนฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักรรองจาก Grimsby & Immingham ณ ปี 2555 ท่าเรือสามารถรองรับเรือสำราญ เรือข้ามฟากโรลออนโรลออน และสินค้าทุกประเภทที่โรงงานขนาดใหญ่ในภาคตะวันออก เช่นเดียวกับท่าเรือในยุโรปในประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันหลายแห่งเช่น แอนต์เวิร์ป และ รอตเตอร์ดัม [ 36 ] แม้ว่าอังกฤษจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วและมีเทคโนโลยีเป็นลำดับต้นๆ แต่การเกษตรยังถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานยุโรป สองในสามของการผลิตเกิดจากการทำปศุสัตว์ ส่วนอีกส่วนหนึ่งมาจากการเพาะปลูก พืชผลหลักที่ปลูกคือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง หัวบีตน้ำตาล อังกฤษยังคงเป็นอุตสาหกรรมการประมงที่สำคัญแม้ว่าอุตสาหกรรมการประมงจะลดลงมาก มีชื่อเสียงในการจับปลาเฮอริ่ง และยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ดีบุก หินปูน แร่เหล็ก เกลือ ดินเหนียว ชอล์ก ยิปซั่ม ตะกั่ว และซิลิกา
การท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญในชีวิตทางเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษ ในปี 2018 สหราชอาณาจักรมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดเป็นลำดับที่ 10 ของโลก และอังกฤษมีมรดกโลกที่ได้รับการรับรองโดยยูเนสโก 17 แห่ง ( รวมสหราชอาณาจักร ) โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย เช่น [ 37 ] [ 38 ] [ 39 ] 1. The Palace of Westminster & Big Ben (พระราชวังเวสต์มินสเตอร์และบิกเบน) พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ เป็นสถานที่ประชุมของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันในฐานะอาคารรัฐสภาเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอนซึ่งเป็นมรดกโลกและเป็นหนึ่งในอาคารที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก ในส่วนของหอนาฬิกาบิกเบน ( Big Ben ) เป็นสถานที่สำคัญในลอนดอนที่มีชื่อเสียงก้องโลกและเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศอังกฤษ โดยแต่เดิมนั้นคำว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อของระฆังในหอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุด ระฆังนี้เรียกอีกอย่างว่ามหาระฆังหรือเดอะเกรทเบลล์ 2. London Eye (ลอนดอนอาย) ลอนดอนอาย ( London Eye ) หรือ มิลเลเนียมวีล ( Millennium Wheel ) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร ( 443 ฟุต ) ซึ่งในอดีตเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก 3. Westminster Abbey (เวสต์มินเตอร์แอบบีย์) เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ( Westminster Abbey ) เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและที่ฝังพระบรมศพพระมหากษัตริย์อังกฤษและพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ ระหว่าง ค.ศ. 1546-56 แอบบีย์ได้รับเลื่อนฐานะขึ้นเป็นอาสนวิหาร ต่อมาในรัชสมัยของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แอบบีย์นี้ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอารามหลวง ( Royal Peculiar ) โดยส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ วิหารเวสต์มินสเตอร์ แอบบีย์ คือ มุมนักกวี ( Poets ‘ Corner ) [ 40 ] [ 41 ]
Read more: Lille OSC
4.Buckingham Palace (พระราชวังบักกิงแฮม) เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน ใช้สำหรับการเลี้ยงรับรองของรัฐและยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่งของกรุงลอนดอน และยังเป็นที่รวมพลังใจทั้งในการฉลองและในยามคับขันของชาวอังกฤษ 5.สโตนเฮนจ์ เป็น อนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี ( Salisbury Plain ) ในบริเวณตอนใต้ของ เกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนกัน สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในยุคกลางอีกด้วย
อังกฤษจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของสหราชอาณาจักร คิดเป็น 84 % ของจำนวนทั้งหมด หลักฐานทางพันธุกรรมบางอย่างชี้ให้เห็นว่า 75–95 % ของชาวอังกฤษสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งแต่เดิมมาจากคาบสมุทรไอบีเรีย และ 5 % จากแองเกิลและแอกซอน และองค์ประกอบสำคัญของสแกนดิเนเวีย ( ไวกิ้ง ) จากการสำรวจสำมะโนครัวของประเทศอังกฤษในเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 ประเทศอังกฤษมีประชากร 58,789,194 คน โดยมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหภาพยุโรป และอันดับ 21 ของโลก ในปีพ.ศ. 2547 สำนักงานสถิติแห่งชาติประมาณการจำนวนประชากรที่ 59,834,300 คน และ เพิ่มเป็น 60.2 ล้านคน ในอีกสองปีต่อมา โดยการเพิ่มจำนวนประชากรส่วนใหญ่มาจากการอพยพเข้าประเทศ อัตราการเกิดที่สูงขึ้นและอายุขัยที่ยาวนานขึ้นประเทศอังกฤษมีความหนาแน่นของประชากรสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ ซึ่งมีสภาพทางเศรษฐกิจที่ดี และส่วนใหญ่เป็นเขตเมืองหรือชานเมือง ประชากรประมาณ 7.5 ล้านคนอาศับอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรมีอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรสูงถึง 99 % เป็นผลมาจากการศึกษาของรัฐ ทั่วประเทศ การศึกษาภาคบังคับมีสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 5 ถึง 16 ปี จำนวนประชากรของสหราชอาณาจักรแบ่งตามเชื้อสาย
ประเทศอังกฤษไม่มีภาษาราชการ ภาษาที่พูดกันเป็นส่วนใหญ่คือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลุ่ม เจอร์มานิก ตะวันตก พัฒนามาจากภาษาอังกฤษโบราณ ภาษาท้องถิ่นอื่นๆ ได้แก่ภาษาสกอต และภาษากลุ่มแกลิกและบริทโทนิก ( เป็นกลุ่มภาษาย่อยของกลุ่มภาษาเคลติก ) เช่นภาษาเวลส์ ภาษาคอร์นิช ภาษาไอริช และภาษาสกอตติชแกลิก ภาษาอังกฤษได้แพร่กระจายไปทั่วโลก จากอิทธิพลของจักรวรรดิบริเตนในอดีตและสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่สอนกันมากที่สุดในโลก ภาษากลุ่มเคลติกของ ประเทศอังกฤษก็มีพูดกันในกลุ่มเล็กๆหลายแห่งในโลก เช่น ภาษาแกลิกในประเทศแคนาดา และภาษาเวลส์ในประเทศอาร์เจนตินา
คนส่วนใหญ่ถือศาสนาคริสต์ ศาสนาอื่นได้แก่ ศาสนาพุทธ ฮินดู ยิว อิสลามและซิกข์ ประมาณ 23 % ของประชากรไม่มีการยึดถือ ศาสนาใดๆเป็นหลัก ศาสนาหลักคือ ศาสนาคริสต์ แต่อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังมีสังคมที่มีความหลากหลายทางด้านความเชื่อ เป็นสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับศาสนาอื่นๆ ด้วย ในปัจจุบัน มีชาวอังกฤษหันมานับถือพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานในวารสารทางสายกลางของพุทธสมาคมลอนดอน ระบุว่า มีสมมาคมองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจัดตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษประมาณ 30 แห่ง เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหมู่ชนชาวอังกฤษ จึงก่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาในประเทศอังกฤษค่อยๆ เป็นปึกแผ่นมั่นคงและก้าวหน้าไปโดยลำดับ โดยมีการก่อสร้าง วัดพุทธปทีป ในกรุงลอนดอน [ 43 ] [ 44 ]
ระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษแบ่งเป็น 4 ระดับใหญ่ๆ ดังนี้ [ 45 ] [ 46 ] [ 47 ] [ 48 ] 1. ระดับประถมศึกษา (Primary Education: Key Stage 1-3): รับนักเรียนอายุ ตั้งแต่ 5-14 ปี โดย Pre-Preparatory School ( เตรียมประถมศึกษา ) จะรับเด็กอายุ 5-7 ปี และ Preparatory School ( ประถมศึกษา ) รับเด็กอายุ 7-14 ปี 2.ระดับมัธยมศึกษา (Secondary Education: Key Stage 4): รับนักเรียนอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป และเรียนได้จนถึงอายุ 18-19 ปี การศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของอังกฤษมีทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนของเอกชน ซึ่งการขึ้นชั้นเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็นการขึ้นชั้นเรียนโดยอัตโนมัติ ไม่มีการสอบตก และหลังจากที่จบการศึกษาเมื่ออายุ 16 ปีแล้ว กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของอังกฤษจะกำหนดให้มีการวัดความรู้ ความสามารถของเด็ก โดยการจัดสอบของคณะกรรมการอิสระ ซึ่งมีการสอบประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี ผลการสอบดังกล่าวจะนำไปใช้ในการสมัครเข้าศึกษาใน ระดับอุดมศึกษา ต่อไป การสอบนี้มี 2 ประเภท คือ GCSE ( General Certificate of Secondary Education ) Year 10-11 นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตร IGCSE ( International General Certificate of Secondary Education ) สำหรับนักเรียนที่ภาษาแม่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เป็นหลักสูตรที่ได้รับการรับรองอย่างแพร่หลายทั่วโลก ใช้เกณฑ์เดียวกันกับ GCSE ทุกประการ 3.ระดับอาชีวศึกษา (Further Education): การศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนที่มีอายุ 16 ปีและไม่ประสงค์จะศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา แต่ต้องการเรียนต่อเพื่อเอาคุณวุฒิทางวิชาชีพต่างๆ เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ คุณวุฒิวิชาชีพมี 2 ประเภท คือ GNVQ ( General National Vocational Qualification ) และ NVQs ( National Vocational Qualifications ) เป็นการศึกษาสายอาชีพและการฝึกปฏิบัติวิชาชีพเฉพาะ โดยผู้ว่าจ้างสหภาพแรงงานและผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพนั้นๆ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานการศึกษา 4.ระดับอุดมศึกษา (Higher Education): การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และ College of Higher Education หลักสูตรการศึกษาในระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น Undergraduate Course หลักสูตรปริญญาตรี First Degree (Bachelor’s degree) หลักสูตรส่วนใหญ่ 3 ปี ยกเว้นบางสาขา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ ( 4 ปี ) สถาปัตยกรรมศาสตร์ ( 5 ปี ), ทันตแพทยศาสตร์ ( 5 ปี ), สัตวแพทยศาสตร์ ( 5 ปี ), แพทยศาสตร์ ( 6 ปี ) ปริญญาที่ให้ ได้แก่ Bachelor of Arts ( B.A. ) knight bachelor of Sciences ( B.Sc. ) bachelor of Education ( B.Ed. ) knight bachelor of Engineering ( B.Eng. ) Postgraduate Course หลักสูตรที่สูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไป 1. Postgraduate Certificate/Postgraduate Diploma หลักสูตร 6 เดือน ถึง 9 เดือน รับผู้สำเร็จปริญญาตรีในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง 2. Master Degree หลักสูตร 1 – 2 ปี รับผู้สำเร็จปริญญาตรีในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง การเรียนระดับนี้มีทั้งหลักสูตรปริญญาโทแบบเข้าชั้นเรียน ( Taught Master ) และปริญญาโทแบบทำวิจัย ( Master by Research ) หลักสูตรปริญญาเอก Doctoral degree or Doctor of Philosophy เป็นหลักสูตรที่นักศึกษาจะต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ โดยการทำวิจัยและเขียนวิทยานิพนธ์ ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา ส่วนใหญ่การศึกษาระดับนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ปริญญาที่ให้คือ Ph.D. หรือ D.phil. นอกจากนี้ยังมี New Route to PhD ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของการศึกษาปริญญาเอก ใช้เวลาศึกษา 4 ปี โดย 30 – 40 % ของหลักสูตรจะเป็นการเรียนแบบ Taught course และ 60 – 70 % จะเป็นการทำวิจัย ประเทศอังกฤษมีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกมากมาย อาทิ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด, มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, มหาวิทยาลัยบริสทอล, คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน, มหาวิทยาลัยลีดส์ และ มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ เป็นต้น โดยแต่ละสถาบันล้วนผลิตนักศึกษาที่มีความสามารถทางวิชาการระดับโลกมายาวนาน [ 49 ] [ 50 ] [ 51 ]
นับเป็นช่วงเวลาหลายศตวรรษที่ศิลปินสัญชาติอังกฤษได้ผลิตผลงานเพลงที่สามารถครองใจของผู้คนทั้งโลก หลายๆ วงกลายเป็นวงระดับตำนานของโลก แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผลงานของพวกเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำและมีผู้คนจำนวนมากฟังผลงานของพวกเขาอยู่ในปัจจุบัน วงตำนานระดับโลกอย่าง The Beatles และ The Rolling Stones ครองใจแฟนเพลงทั่วโลกมาหลายทศวรรษ
อังกฤษมีมรดกทางกีฬาที่แข็งแกร่ง กีฬาที่มีต้นกำเนิดในอังกฤษ ได้แก่ ฟุตบอล, คริกเก็ต, รักบี้, เทนนิส, มวย, แบดมินตัน, สควอช, ฮอกกี้, สนุกเกอร์, บิลเลียด, ปาเป้า, เทเบิลเทนนิส, โบลิ่ง, เน็ตบอล, การแข่งม้าพันธุ์ดี การแข่งสุนัขเกรย์ฮาวด์ และการล่าสุนัขจิ้งจอก มันช่วยพัฒนากอล์ฟ เรือใบ และรถสูตรหนึ่ง
ทีมชาติอังกฤษชนะเลิศฟุตบอลโลกในปี 1966 กีฬาฟุตบอล ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ [ 52 ] [ 53 ] [ 54 ] ทั้งยังเป็นกีฬาประจำชาติด้วย ก่อนจะมีการเล่นอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก โดยในอังกฤษเรียกว่า ฟุตบอล โดยแทบไม่ใช้คำว่า ซอกเกอร์ อย่างในบางประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกาเป็นต้น โดยมีการก่อตั้ง สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์ เป็นแห่งแรกของอังกฤษและของโลก เมื่อ ค.ศ. 1857 ปัจจุบันอังกฤษมีลีกการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีสโมสรชั้นนำมากมาย อาทิ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ซิตี, เชลซี, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล, นิวคาสเซิลยูไนเต็ด, ท็อตนัมฮอตสเปอร์ และ ลีดส์ยูไนเต็ด ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เป็นหนึ่งในทีมเก่าแก่ที่สุดในโลก [ 55 ] [ 56 ] [ 57 ] โ ดยทีมชาติอังกฤษเป็นไม่กี่ทีมที่ไม่มีสิทธิในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษไม่ถือว่าเป็นประเทศ อังกฤษได้จัดตั้งทีมชาติขึ้นมาพร้อม ๆ กับ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ และพร้อม ๆ กับทีมชาติสกอตแลนด์ ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1870 เคยชนะเลิศฟุตบอลโลกหนึ่งสมัยใน ฟุตบอลโลก 1966 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพ และรองชนะเลิศ ฟุตบอลยูโร หนึ่งสมัยในปี 2020 ปัจจุบันลงเล่นใน สนามเวมบลีย์ ใน กรุงลอนดอน
Classic British Fish and Chips [ 58 ] ฟิชแอนด์ชิปส์ หรือเมนูปลาทอดทานคู่กับเฟรนฟรายส์ทอดที่นิยมกันทั่วโลกก็เป็นเมนูสุดคลาสสิคของชาวอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยชาวยิวที่นำเอาเมนูเข้ามาสู่อังกฤษจนทำให้เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน Traditional Yorkshire Pudding เป็นอีกหนึ่งเมนูสุดคลาสสิคของอังกฤษที่เป็นที่นิยมทานกันอย่างกว้าวขวาง แต่เมนูพุดดิ้งของอังกฤษนั้นจะแตกต่างจากพุดดิ้งที่เป็นขนมหวาน เพราะพุดดิ้งในที่นี่คือการนำแป้งอบแล้วเสริฟคู่กับเนื้อราดด้วยน้ำเกรวี่ สกอน (Scone) สกอน เป็นขนมอบชนิดหนึ่งว่ากันว่ามีต้นตำรับมาจากประเทศอังกฤษ ตัวขนมทำจากแป้งสาลี ไข่ เนย น้ำตาล นมสด บางครั้งใส่ผลไม้อบแห้งลงไป นิยมกินคู่กับชาร้อน หรือกินเป็นอาหารเช้า สโคนส่วนใหญ่มักมีรสชาติไม่หวาน นิยมทานคู่กับวิปครีม
Read more: ประเทศโปรตุเกส – O’bon Paris