Reading: บารัก โอบามา – วิกิพีเดีย
ใน ค.ศ. 2012 มี การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ โอบามามีชัยเหนือ มิตต์ รอมนีย์ จากพรรคริพับลิกัน จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 ในสมัยที่ 2 นี้ โอบามาส่งเสริมประโยชน์ครอบคลุมชาวอเมริกันผู้หลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลของเขาฟ้องคดีหลายเรื่องอันเป็นเหตุให้ ศาลสูงสุด วินิจฉัยความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ การห้ามสมรสเพศเดียวกัน โอบามายังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องควบคุมปืนหลังเกิด เหตุยิงกันในโรงเรียนประถมแซนดีฮุก เมื่อ ค.ศ. 2012 และเขาออกคำสั่งทางปกครองหลายรายการที่ครอบคลุมกว้างขวางเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และ การเข้าเมือง ส่วนนโยบายต่างประเทศในสมัยที่ 2 โอบามาให้ทหารเข้าแทรกแซงในอิรัก หลังจากที่สหรัฐถอนทหารออกไปใน ค.ศ. 2011 แล้ว กลุ่ม ไอซิล ก็เข้าก่อความไม่สงบ แต่โอบามาให้ดำเนินกระบวนการยุติปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถานต่อไป และส่งเสริมการพูดคุยอันนำไปสู่ ความตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ค.ศ. 2015 ทั้งก่อให้เกิดการคว่ำบาตรรัสเซียที่ส่งทหารเข้าแทรกแซงในยูเครน รวมถึงชี้ช่องให้เกิด ข้อตกลงแลกประโยชน์นิวเคลียร์กับอิหร่าน ตลอดจน ฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสหรัฐกับคิวบา โอบามาพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 ปัจจุบัน พำนักอยู่ใน วอชิงตัน ดี.ซี. และจะมีการสร้างหอสมุดประธานาธิบดีของเขาในชิคาโก
ชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน
สูติบัตรของบารัก โอบามา โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมือง โฮโนลูลู รัฐฮาวาย [ 2 ] [ 3 ] เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมือง วิชิทอ รัฐแคนซัส [ 4 ] [ 5 ] ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ สก๊อตแลนด์ เวลส์ เยอรมนี และสวิสเซอร์แลนด์ [ 6 ] [ 7 ] [ 8 ] โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ [ 9 ] [ 10 ] และได้แต่งงานกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 [ 11 ] แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน [ 12 ] หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล ซูโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศ อินโดนีเซีย เมื่อ ค.ศ. 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุง จาการ์ตา จนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ [ 4 ] โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาใน ค.ศ. 1979 [ 13 ] หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ ลอสแอนเจลิส ที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล ( Occidental College ) เป็นเวลา 2 ปี [ 14 ] จากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานคร นิวยอร์ก สาขา รัฐศาสตร์ เน้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ [ 15 ]
จากขวาไปซ้าย บารัก โอบามา, น้องสาวของเขา มายา ซูโตโร ถัดไปเป็นแม่และตาของพวกเขาคือ แอนน์ ดันแฮม, แสตนลีย์ ดันแฮม ถ่ายที่รัฐฮาวาย เมื่อต้นปี ค.ศ. 1970 ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ระดับไฮสคูลนั้น เขายอมรับว่าเคยเสพ กัญชา, โคเคน และเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ซึ่งเขาเปิดเผยที่เวทีประชุมพลเมืองสำหรับประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 ถือว่าเป็นความล้มเหลวเกี่ยวกับศีลธรรมความดีงาม [ 16 ] [ 17 ] โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาตรี จาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ใน ค.ศ. 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก หลังจาก 4 ปีที่อยู่ในนิวยอร์ก โอบามาย้ายไปอยู่ที่ ชิคาโก เขาได้รับการจ้างเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน ( DCP ) ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนริเริ่มตั้งจากศาสนา ซึ่งประกอบด้วย 8 โบสถ์คาทอลิก ในโลสแลนด์ พูลแมนตะวันตก และ ริเวอร์เดล ในด้านใต้ของเมืองชิคาโก และเขาได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 จนถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988 [ 18 ] ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ 3 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน ( DCP ) ผู้ร่วมงานได้เพิ่มขึ้นจาก 1 คน เป็น 13 คน และงบประมาณประจำปี เพิ่มขึ้นจากปีละ 7 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการช่วยเหลือเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกอบรม, การกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย และ องค์กรสิทธิของผู้เช่าที่ดินในแอลเจลด์การ์เดนส์ ( Altgeld Gardens ) [ 19 ] โอบามายังได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้สอนในมูลนิธิกามาลีล ( Gamaliel Foundation ) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งเกี่ยวกับองค์กรชุมชน [ 20 ] ในกลาง ค.ศ. 1988 เขาได้เดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 3 สัปดาห์และไปเคนยา 5 สัปดาห์ ซึ่งเขาได้พบญาติ ๆ ชาวเคนยาหลายคนเป็นครั้งแรกด้วย [ 21 ] จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ใน ค.ศ. 1988 สิ้นปีแรกเขาได้รับคัดเลือกจากการแข่งขันในการเขียนและเกรดของการเรียนให้เข้ามาเป็นบรรณาธิการคนหนึ่งของวารสาร Harvard Law Review [ 22 ] พอขึ้นปีที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 เขาได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการ ( อาสาสมัครเต็มเวลา ) และกำกับควบคุมนักเขียนถึง 80 คน [ 23 ] โอบามาเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Law Review ข่าวการคัดเลือกได้มีการรายงานในวงกว้าง ตามด้วยประวัติส่วนตัวที่ละเอียดในสื่อระดับประเทศ ระหว่างฤดูร้อน เขาได้กลับไปชิคาโก ซึ่งเขาทำงานเป็นทนายความฝึกงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ที่สำนักงานกฎหมายของ Sidley & Austin ใน ค.ศ. 1989 และ Hopkins & Sutter ใน ค.ศ. 1990 [ 24 ] หลังจากจบปริญญากฎหมาย Juris Doctor จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดใน ค.ศ. 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโก [ 25 ] [ 26 ] และเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1995 [ 27 ] ช่วง ค.ศ. 1993 และ ค.ศ. 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิคาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้แก่ประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก [ 28 ] ต่อมาใน ค.ศ. 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอส์ ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4 ปี ( ค.ศ. 1992–1996 ) และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอาวุโสถึง 8 ปี ( ค.ศ. 1996–2004 ) [ 29 ] และเขายังได้ร่วมกับ เดวิด ไมเนอร์ บาร์นฮิลล์ และกัลแลนด์ ที่เป็นบริษัททนายความมีเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้คดีในชั้นศาล และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน โอบามาเป็นสมาชิก 3 ปี ( ค.ศ. 1993–1996 ) จึงลาออก [ 30 ] [ 31 ] โอบามาเคยเป็นสมาชิกสรรหาของคณะกรรมการบริหารแห่งพันธมิตรสาธารณะใน ค.ศ. 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้น ค.ศ. 1993 [ 32 ] และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น สภาทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก, ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าน, ศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป ( Lugenia Burns Hope Center )
ประวัติทางการเมือง
สมาชิกสภานิติบัญญัติ, ค.ศ. 1997–2004
โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่ง รัฐอิลลินอยส์ ใน ค.ศ. 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ กราบเดโช จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ [ 33 ] เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้แก่แรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และเพิ่มเงินสมทบสำหรับการดูแลเด็กเล็ก [ 34 ] ใน ค.ศ. 2001 เป็นประธานร่วมในเรื่องของกฎหมายว่าด้วยการปกครอง เขาสนับสนุนกฎระเบียบที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐไรอัน ( Ryan ) เพื่อควบคุมเงินกู้ใช้จ่ายระหว่างเงิน และการให้จำนองที่เอาเปรียบ เพื่อลดปัญหาบ้านถูกยึด [ 35 ] ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่ง รัฐอิลลินอยส์ อีกครั้งใน ค.ศ. 1998 [ 36 ] และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2002 ส่วนใน ค.ศ. 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1 [ 37 ] [ 38 ] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่ง รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง [ 39 ] หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ [ 40 ] ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกสหรัฐนั้น ตัวจากแทนตำรวจได้ให้เครดิตกับโอบามาอย่างมาก ในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการ ประหารชีวิต [ 41 ] โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่ง รัฐอิลลินอยส์ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ [ 42 ] จนกระทั่งใน ค.ศ. 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐ [ 43 ]
เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ค.ศ. 2004
กลาง ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ หลังจากที่เลือก เดวิด คอปเปอร์ฟีล มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 [ 44 ] ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้แก่ผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน [ 45 ] การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์ [ 46 ] ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว [ 47 ] จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบครั้งแรกจากพรรคริพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 [ 48 ] เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี ค.ศ. 2004 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ [ 49 ] โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ใน สงครามโลกครั้งที่ 2 มาในฐานะทหารผ่านศึก และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก เคหะแห่งชาติ ( New Deal ‘s FHA ) โครงการสำหรับทหารผ่านศึก ( G.I. Bill ) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐ เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ถือพวกอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า “ ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษนิยม มีเพียงประเทศสหรัฐ ” ( “ There is not a big America and a cautious America ; there ‘s the United States of America. ) [ 50 ] สุนทรพจน์ส่วนนี้ ได้มีการเผยแพร่ทาง PBS, CNN, MSNBC, Fox News และ C-SPAN แก่ผู้ชม 9.1 ล้านคน ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอบามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐครั้งนี้ [ 51 ] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง คีนู ลีฟ์ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้ [ 52 ] คีส์นั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ใน รัฐแมริแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ใน รัฐอิลลินอยส์ เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ [ 53 ] แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่คีส์ได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความต่างของคะแนนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียว [ 54 ]
สมาชิกวุฒิสภา, ค.ศ. 2005–2008
โอบามาได้สาบานตนในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005 [ 55 ] เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่น ๆ ต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก [ 56 ] เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย [ 57 ] โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย [ 58 ] ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน [ 59 ] เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus [ 60 ] นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น “ นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์ ” จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศใน ค.ศ. 2005–2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ ” มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด ” จากการโหวตใน ค.ศ. 2007 [ 61 ] [ 62 ] แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง ” อนุรักษนิยม ” กับ ” เสรีนิยม ” เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให้ผลโหวตออกมาไม่ตรงตามความจริงเท่าใดนัก [ 63 ] บารัก โอบามา ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะเริ่มทำงานประธานาธิบดี [ 64 ] [ 65 ] เนื่องจากโอบามาดำรงวุฒิสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว แต่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกตำแหน่ง ทำให้ไม่มีเวลาในการประชุม รัฐสภาสหรัฐ เพื่อเป็นการไม่ให้เวลาการทำงานของตำแหน่งทั้งสองคาบเส้นกัน จึงต้องลาออกจากวุฒิสมาชิก ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยมีมาแล้วในสมัยประธานาธิบดีวาเรน ฮาร์ดิง [ 66 ]
ด้านนิติบัญญัติ
โอบามาลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนโยบายพลังงาน ค.ศ. 2005 เนื่องจากสอดคล้องกับความสนใจของเขา โอบามารับหน้าที่สำคัญในการผลักดันให้สมาชิกวุฒิสภา พัฒนาความปลอดภัยตามแนวชายแดนและการปฏิรูปการอพยพข้ามประเทศ ใน ค.ศ. 2005 นั้นเขาสนับสนุน “ กฎหมายความปลอดภัยของอเมริกาและการอพยพอย่างมีระเบียบ ” ที่ร่างขึ้นโดย จอห์น แมคเคน สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทน รัฐแอริโซนา จากพรรคริพับลิกัน [ 68 ] ต่อมาเขาได้เพิ่มข้อแก้ไขสามจุดลงใน “ กฎหมายปฏิรูปการอพยพทั่วไป ” ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร [ 69 ] ในเดือนกันยายน ปี 2006 นั้น โอบามาสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายป้องกันความปลอดภัย ซึ่งมีโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและพัฒนาความปลอดภัยอื่น ๆ ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก [ 70 ] ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามรับรองยกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 โดยกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นก้าวกระโดดสำคัญในการปฏิรูปการอพยพข้ามแดนเข้าสู่สหรัฐ
ต่อมา โอบามาได้จับมือกับ ริชาร์ด ลูการ์ วุฒิสมาชิกแห่ง รัฐอินเดียนา จากพรรคริพับลิกัน และ ทอม โคเบิร์น จากโอกลาโฮมา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ ลูการ์-โอบามา ” ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการลดอาวุธสงคราม [ 72 ] และกฎหมาย “ โคเบิร์น-โอบามา ” ที่นำมาซึ่งการก่อตั้งเว็บไซต์ www.USAspending.gov ซึ่งเป็นเว็บที่เปิดในเดือนธันวาคม ปี 2007 และควบคุมโดยสำนักงานบริหารและงบประมาณ [ 73 ] หลังจากที่ชาวอิลลินอยส์เริ่มไม่พอใจน้ำเสียที่เป็นผลมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในบริเวณใกล้เคียง โอบามาจึงได้สนับสนุนให้มีการตรากฎหมายบังคับให้เจ้าของโรงงานแจ้งให้แก่ทางรัฐและทางการของท้องถิ่นทันทีที่มีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี [ 74 ] แต่ร่างกฎหมายที่ผ่อนปรนแล้วกลับถูกต่อต้านอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาก็ได้มีการนำกฎหมายนี้มาพิจารณาอีกครั้ง [ 75 ] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 ประธานาธิบดีบุชได้นำกฎหมายนี้ไปปรับใช้เป็น “ กฎหมายเพื่อสงเคราะห์ ความปลอดภัย และส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งคองโก ” นับว่าเป็นผลงานด้านนิติบัญญัติชิ้นแรกของโอบามาที่มีบทบาทในระดับประเทศ [ 76 ] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 โอบามาและวุฒิสมาชิก Feingold เสนอ ” กฎหมายเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเป็นบริษัทการผลิตเครื่องบินไอพ่น ( jet ) ” เป็นกฎหมายที่เปิดเผยและน่าเชื่อถือ โดยลงนามเป็นกฎหมายเมื่อเดือน [ [ กันยายน 2007 [ 77 ] โอบามาเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการหลอกลวง, การป้องกันการข่มขู่ผู้ไปลงคะแนนเสียง งบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลกลาง [ 78 ] เขายังเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการลดการทำ สงครามอิรัก [ 79 ] ต่อมาปลาย ค.ศ. 2007 โอบามาสนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจในการป้องกันประเทศ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลที่มีชื่อเสียงเมื่อเกิดเหตุจลาจล [ 80 ] ซึ่งกฎหมายนี้ได้ผ่านการอนุมัตจากวุฒิสภาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2008 [ 81 ] เขาได้สนับสนุนกฎหมายในการให้อำนาจต่อต้าน อิหร่าน โดยได้รับการสนับสนุนจากการลดกองทุนบำนาญของรัฐ จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของอิหร่าน และร่วมสนับสนุนการออกกฎหมายลดการเสี่ยงภัยจาก การก่อการร้าย ด้วย นิวเคลียร์ [ 82 ] [ 83 ] โอบามายังได้สนับสนุนวุฒิสภาในการแก้ไขโปรแกรมของรัฐในการประกันสุขภาพของเด็ก โดยให้งานทำ 1 ปี สำหรับสมาชิกของครอบครัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บจาก สงคราม [ 84 ]
คณะกรรมการด้านต่าง ๆ
บารัก โอบามาได้รับมอบหมายให้เป็น คณะกรรมการวุฒิสภาเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สิ่งแวดล้อม, งานสาธารณะและกิจการทหารผ่านศึก ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2006 [ 85 ] ต่อมาเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 เขาได้ออกจากการเป็นคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมและงานสาธารณะ แล้วได้เป็นกรรมการดูแลเกี่ยวกับ สาธารณสุข, การศึกษา, แรงงาน และเงินสงเคราะห์ผู้ที่ไม่มีบ้าน และสวัสดิการของรัฐ [ 86 ] เขายังกลายเป็นประธานคณะกรรมการวุฒิสภายุโรปอีกด้วย [ 87 ] ในงานนี้ โอบามาได้ปฏิบัติภารกิจในการไปดูงานที่ ทวีป ยุโรป ตะวันออก, ตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง และ แอฟริกา โอบามายังได้พบกับ มะฮ์มูด อับบาส ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดี ปาเลสไตน์ และยังได้ประณามการทุจริตของรัฐบาล เคนยา ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยไนโรบี ประเทศเคนยา [ 88 ]
การหาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งประธานาธิบดี
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โอบามาได้ประกาศบนเวทีหน้าอาคาร Old State Capitol ในนครสปริงฟิลด์ รัฐ อิลลินอยส์ ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐใน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008 [ 89 ] โอบามาเลือกสถานที่นี้เพราะเป็นที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวปราศรัย House Divided เมื่อ ค.ศ. 1858 [ 90 ] และอ้างถึงคำปราศรัยของลินคอล์นในการที่จะรวมประเทศที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งเดียว [ 91 ] [ 92 ] ก่อนหน้าที่โอบามาจะประกาศต่อหน้าสาธารณชนหนึ่งสัปดาห์นั้น โอบามาได้เรียกร้องให้ยุติการหาเสียงแบบโจมตีคู่แข่ง ( veto campaign ) [ 93 ] โอบามาได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการยุติ สงครามอิรัก พลังงาน และ การประกันชีวิต แบบสากล [ 94 ] ซึ่งเขาได้นำมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงชิงชัยตำแหน่งตัวแทนพรรคครั้งนี้ ปรากฏว่า เขาได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ หลังจากการเลือกตั้งครั้งแรกเสร็จสิ้นลง ระหว่างการเลือกตั้งครั้งแรกกับการเลือกตั้งทั่วไป โอบามาได้จัดเตรียมบันทึกเอาไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณการบริจาค. [ 95 ] [ 96 ] [ 97 ] ในวันที่ 19 มิถุนายน โอบามากลายเป็นคนแรกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกที่ปฏิเสธในเรื่องของการคลังสาธารณะ ในการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ระบบสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1976 [ 98 ]
ช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ในการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปนั้น โอบามาต้องเจอคู่แข่งคนสำคัญคือ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งช่วงแรกต่างคนก็ต่างเอาชนะกันในแต่ละรัฐ [ 99 ] [ 100 ] [ 101 ] [ 102 ] ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ทางคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ ( DNC ) ได้พิจารณาคะแนนโหวตที่ รัฐมิชิแกน และ ฟลอริดา ที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตามผลการโหวตครั้งสุดท้ายปรากฏว่าโอบามามีคะแนนนำ [ 103 ] ในวันที่ 3 มิถุนายน โอบามาจึงได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี [ 104 ] [ 105 ] และในวันเดียวกันนั้น เขาได้แถลงการณ์ถึงชัยชนะที่เซนท์ พอล รัฐมินนิโซตา หลังจากนั้น ฮิลลารี คลินตัน จึงได้ยุติบทบาทในการหาเสียงทั้งหมด แล้วหันมาสนับสนุนโอบามาในวันที่ 7 กรกฎาคม [ 106 ] เพื่อที่จะได้ไปเจอกับ จอห์น แมคเคน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคริพับลิกันต่อไป วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2008 โอบามาได้เลือก โจ ไบเดิน จากรัฐ เดลาแวร์ ให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต [ 107 ] ที่ศูนย์ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต ฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่แข่งภายในพรรคของโอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนโอบามา ให้เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับพรรคริพับลิกันอย่างเป็นทางการ [ 108 ] [ 109 ] ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม โอบามากล่าวสุนทรพจน์ท่ามกลางผู้สนับสนุนราว 84,000 คน และผู้ที่ดูทางโทรทัศน์อีก 38 ล้านคน และในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นั้น โอบามาได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และยังนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของเขาต่อไป [ 110 ] [ 111 ] ภายหลังจาก การโต้วาที โอบามาได้รับชัยชนะจากโพลต่าง ๆ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ยายของเขา แมดาลีน ดันแฮม เสียชีวิตจาก โรคมะเร็ง ในอายุ 86 ปี แต่เขาเพิ่งทราบข่าวในวันถัดมาคือวันที่ 3 พฤศจิกายน ก่อนการเลือกตั้งเพียงวันเดียว [ 112 ] [ 113 ] ระหว่างที่ จอห์น แมคเคน เป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มีการโต้วาทีกันถึง 3 ครั้งระหว่างโอบามากับแมคเคนในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 [ 114 ] [ 115 ] สำหรับผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น เขาชนะการเลือกตั้งแบบป็อปปูลาร์โหวต 53 % และ ชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กโทรรอลโหวตอย่างท้วมท้น ต่อมาก็มีการจัดเฉลิมฉลองตามท้องถนนในหลายเมืองของสหรัฐและทั่วโลกภายหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งทันที [ 116 ]
ชัยชนะ
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 บารัก โอบามาชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอรัลโหวต 365 คะแนน ซึ่ง จอห์น แมคเคน ได้เพียงแค่ 173 คะแนน [ 117 ] และกลายเป็นชาว แอฟริกันอเมริกัน คนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ [ 118 ] [ 119 ] [ 120 ] [ 121 ] เขาได้ประกาศชัยชนะต่อประชาชนหลายแสนคน ที่สนับสนุนให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่แกรนด์ปาร์ค ชิคาโก ว่า “ การเปลี่ยนแปลงได้มาถึงอเมริกาแล้ว ” ( “ deepen has come to America ” ) [ 122 ]
Read more: Ex on the Beach (British series 6)
ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2009 ในการประชุมร่วมกันของสมาชิกจากสองสภาของ รัฐสภาสหรัฐ ได้รับรองผลอิเล็กทอรัลโหวต ใน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008 โดยใช้การนับจำนวนคะแนนเสียงที่โหวตให้ บารัก โอบามาได้รับการประกาศให้เป็นประธานาธิบดีโดยมี โจ ไบเดิน เป็นรองประธานาธิบดี [ 123 ]
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ส่งพระราชสาส์นแสดงความยินดีกับโอบามา ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย โดยทรงได้อำนวยพรให้ประสบความสำเร็จเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประชาชน และความเจริญยิ่งขึ้นของสหรัฐ
วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
โอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 โจ ไบเดิน เป็นรองประธานาธิบดี หลังจากที่ทำงานได้เพียงไม่กี่วัน เขาได้ออกคำสั่ง ( Executive Order ) และออกเอกสารบันทึกความเข้าใจประธานาธิบดี ( Presidential Memorandum ) บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ โดยตรงเพื่อพัฒนาแผนการถอนกำลังทหารออกจาก อิรัก, [ 124 ] และออกคำสั่งให้ปิดค่ายกักขังนักโทษกวนตานาโมทันทีและให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 [ 125 ] ยิ่งไปกว่านั้น โอบามายังได้ปรับปรุงการเก็บรักษาข้อมูลลับของประธานาธิบดี [ 126 ] และปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอข่าวสารที่สามารถเปิดเผยได้ ภายใต้รัฐบัญญัติข้อมูลข่าวสารสหรัฐ ( Freedom of Information Act ). [ 127 ] และดำเนินนโยบายสนับสนุนการทำแท้ง [ 128 ]
นโยบายในประเทศ
วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2009 โอบามาลงนามในกฎหมาย “ ลิลลี เลดเบทเทอร์ แฟร์ เพย์ ” ( The Lilly Ledbetter Fair Pay Act ) ซึ่งยกเลิกคำตัดสินของศาลในคดีที่ ลิลลี เลดเบทเทอร์ ฟ้อง บริษัท กู้ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ โค. ( Goodyear Tire & Rubber Co. ) และช่วยให้การเก็บเอกสารแยกแยะคดีฟ้องร้องในเรื่องการจ้างงานให้สะดวกยิ่งขึ้น [ 129 ] 5 วันต่อมา เขาลงนามในระเบียบวาระประกันสุขภาพเด็ก ( SCHIP ) ทำให้เด็กอีกจำนวน 4 ล้านคนในปัจจุบันได้รับการประกันสุขภาพโดยทั่วถึงกัน [ 130 ] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 โอบามายกเลิกนโยบายสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่กีดขวางไม่ให้งบจากรัฐบาลกลางมาใช้เป็นทุนสำหรับงานวิจัย สเต็มเซลล์ ( Stem cells ) แม้ว่าจะมีผู้วิจัยบางคนออกมาโต้แย้งในเรื่องนี้ เขาแถลงออกไปว่า “ เรื่องวิทยาศาสตร์กับเรื่องศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกัน … เรามีมนุษยธรรมและคุณธรรมที่จะติดตามงานวิจัยนี้โดยรับผิดชอบ ” และให้คำมั่นสัญญาว่าจะพัฒนานโยบายนี้ให้สมบูรณ์ [ 131 ] วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 โอบามาเสนอชื่อ โซเนีย โซโตเมเยอร์ เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐแทนที่ เดวิด ซูเตอร์ ที่ลาออกไป โซโตเมเยอร์ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 2009 ด้วยจำนวนเสียง 68-31 [ 132 ] เธอกลายเป็นชาวสเปนคนแรกที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เธอเข้าร่วมกับ รุธ เบเดอร์ จินส์เบิร์ก หนึ่งในจำนวนผู้หญิง 2 คนและเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่เป็นผู้พิพากษาตลอดมา [ 133 ] วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2009 รัฐบาลโอบามาประกาศข้อบังคับเรื่องพลังงานพืช, โรงงานและโรงกลั่นน้ำมันให้จำกัดมลภาวะเรือนกระจกเพื่อช่วยลด ปรากฏการณ์โลกร้อน [ 134 ] [ 135 ] [ 136 ]
การจัดการเศรษฐกิจ
วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2009 โอบามาลงนามในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ 787 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นกฎหมาย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก [ 137 ] กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมถึงการใช่จ่ายจากส่วนกลางสำหรับประกันสุขภาพ, สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน, การศึกษา, ภาษีต่าง ๆ และสิ่งชักจูงอื่น ๆ และช่วยเหลือไปที่ปัจเจกบุคคลโดยตรง [ 138 ] ซึ่งกระจายไปตลอดหลายปี ในเดือนมีนาคม ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่งในการจัดการกับวิกฤติการณ์การเงิน รวมไปถึงการนำเสนอกองทุนการร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชน หรือ Public-Private Investment Program ( PPIP ) เพื่อซื้อคืนหนี้เสีย ( Legacy Assets ) จากสถาบันการเงิน วันที่ 23 มีนาคม หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ บันทึกไว้ว่า “ ผู้ลงทุนมีปฏิกิริยาที่ปีติยินดีอย่างเหลือล้นกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ถีบตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดเปิด ” [ 139 ] โอบามาเข้าแทรกแซงวิกฤตการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ [ 140 ] ในเดิอนมีนาคม ต่อสัญญาเงินกู้ให้แก่บริษัท เจเนรัลมอเตอร์ และ ไครสเลอร์ คอร์ปอเรชัน เพื่อให้ดำเนินกิจการเป็นไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่มีการวางนโยบายใหม่ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำเนียบขาวจัดให้ทั้งสองบริษัทอยู่ในสถานะล้มละลาย รวมไปถึงการขายกิจการของไครสเลอร์ให้แก่เฟียต [ 141 ] และการปรับปรุงของบริษัทเจเนรัลมอเตอร์เป็นการให้ผลประโยชน์ชั่วคราวที่ยุติธรรมต่อรัฐบาลสหรัฐ 60 % รัฐบาลแคนาดารับภาระ 12 % [ 142 ] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 ความก้าวหน้าของตัวกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่เพียงพอ โอบามาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบเร่งลงทุน [ 143 ] เขาลงนามเป็นกฎหมายใน Cash For Clunkers หรือที่รู้จักกันในชื่อ CARS-Car Allowance Rebate System มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายสมบูรณ์ เป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์สหรัฐ และเพิ่มความสนใจให้แก่คนอเมริกันในการหันมาเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ซึ่งมีอัตรา ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง และมีระดับการสร้างมลพิษในอากาศน้อยกว่ารถยนต์รุ่นเก่า ๆ และแคมเปญนี้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2009 [ 144 ] [ 145 ]
ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ
โอบามาลงนามในกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2010 โอบามาเรียกร้องให้รัฐรัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นสัญญารณรงค์เรื่องหลักและเป็นเป้าหมายสูงสุดของนิติบัญญัติ [ 146 ] เขาได้เสนอการขยายการดูแลประกันสุขภาพซึ่งจะครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ด้วย ข้อเสนอของเขานี้จะใช้งบ 900 พันล้านดอลลาร์ครอบคลุมถึง 10 ปีและรวมไปถึงแผนประกันภัยของรัฐบาลเพื่อที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน มันอาจจะทำให้เกิดสิ่งผิดกฎหมายกับผู้ที่ทำประกันภัย ทำให้เกิดการปฏิเสธการรักษาของพวกที่ไม่สบายก่อนหน้านี้ และต้องการให้ครอบคลุมถึงสุขภาพของชาวอเมริกันทุกคน แผนการนี้ยังได้รวมถึงการตัดค่าจ่ายใช้จ่ายทางการแพทย์ และภาษีของบริษัทประกันภัยซึ่งเสนอแผนการต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง [ 147 ] [ 148 ] วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้นำรัฐสภาจากพรรคเดโมแครต นำเสนอแผนการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพสหรัฐจำนวน 1,017 หน้าซึ่งโอบามาต้องการให้รัฐรัฐสภาสหรัฐอนุมัติภายในสิ้นปี ค.ศ. 2009 [ 146 ] หลังจากที่มีการอภิปรายทางสาธารณะอย่างมากในระหว่างการประชุมรัฐสภาช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2009 โอบามาประกาศแถลงการณ์ของ สภาคู่ เมื่อวันที่ 9 กันยายน เขาพูดในสภาว่ากังวลในเรื่องของข้อเสนอของรัฐบาลของเขา [ 149 ] วันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 สภาล่าง ผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพ [ 150 ] [ 151 ] ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2009 สภาสูง ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วยคะแนนโหวต 60-39 [ 152 ] วันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2010 ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงในเดือนธันวาคม และจากสภาล่างด้วยคะแนนโหวต 219 ถึง 212 [ 153 ] โอบามาลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2010 [ 154 ]
ตำแหน่งทางการเมือง
แบบแผนหรือทฤษฎีของนักการเมืองใช้สำหรับการวัดความคิดที่เป็นไปได้ คือการเปรียบเทียบคะแนนนิยมประจำปีของ องค์กรวัดคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันผู้นิยมประชาธิปไตย ( ADA ) กับสมาพันธ์ชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มอนุรักษนิยม หรือพวกที่ชอบประเพณีเก่า ๆ ล้าสมัย ( ACU ) [ 155 ] การอยู่ในรัฐสภาสหรัฐหลายปี โอบามาได้มีค่าเฉลี่ยคะแนนนิยมอยู่ที่ 7.67 % ( สำรวจโดย ACU ) [ 156 ] และจากการสำรวจโดย ADA เขาได้คะแนนนิยม 90 % [ 157 ] บารัก โอบามา มีนโยบายที่ตรงข้ามกับนโยบายของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เกี่ยวกับอิรัก [ 158 ] ซึ่งในวันที่ 2 ตุลาคม 2002 ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ รัฐรัฐสภาสหรัฐสหรัฐ ได้ลงมติเห็นชอบร่วมกันในการทำ สงครามอิรัก โอบามาได้พูดรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรักที่ Federal Plaza ใน ชิคาโก เป็นครั้งแรก [ 159 ] และเขายังได้กล่าวปราศรัยต่อต้านในเรื่องนี้มาโดยตลอด [ 160 ] โอบามาอ่านแถลงการณ์ครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ในเรื่องของการประท้วงต่อต้านการทำ สงครามอิรัก ที่ Kluczynski Federal Building, Chicago [ 161 ] เขาพูดโจมตีอย่างรุนแรง [ 162 ] [ 163 ] ในวันที่ 16 มีนาคม 2003 ประธานาธิบดีบุชได้ยื่นคำขาดให้ ซัดดัม ฮุสเซน ออกจากอิรักภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนที่ สหรัฐจะรุกรานอิรัก [ 164 ] โอบามากล่าวถึงการรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรัก และได้บอกสื่อมวลชนว่า “ ยังไม่สายเกินไปที่จะยุติสงคราม ” [ 165 ] ถึงแม้ว่าเขาได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาจะถอดกำลังทหารออกจากอิรักทั้งหมดภายในเวลา 16 เดือนหลังจากที่เขาเป็นประธานาธิบดี หลังจากที่เขาชนะในครั้งแรกนั้น เขากล่าวว่าเขาอาจจะทำตามที่สัญญาไว้ [ 166 ] โอบามาได้แจ้งว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 352,900 ล้านบาท เพื่อหยุดการลงทุนซื้ออาวุธที่พิสูจน์ไม่ได้ ในระบบการป้องกันประเทศ, ลดการพัฒนาระบบการรบหรือการต่อสู้ลง และมุ่งทำงานเพื่อกำจัด อาวุธนิวเคลียร์ ทั้งหมด โดยเริ่มจากการลดการสั่งสมนิวเคลียร์ในปัจจุบันของสหรัฐลง ออกกฎหมายห้ามไปทั่วโลกในการผลิตวัตถุดิบในการผลิตอาวุธ และหาทางเจรจาตกลงกับ รัสเซีย ที่จะขจัด ICBMs ออกไปจากสถานะเตือนภัยหรือต้องระวังสูงสุด [ 167 ]
ในเดือน [ [ พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ขอให้เปลี่ยนแนวรบโดยการถอนกองทัพสหรัฐออกจากอิรัก และเปิดการเจรจาทางการทูตกับ ซีเรีย และ อิหร่าน [ 169 ] ต่อมาเดือน [ [ มีนาคม 2007 ได้มีการพูดในคณะกรรมการความสัมพันธ์สาธารณะอเมริกัน-อิสราเอล ( AIPAC ) โดยเห็นด้วยกับการลอบบี้ของ อิสราเอล [ 170 ] เขาได้กล่าวว่า วิธีเบื้องต้นที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็คือ การพูดเจรจาและใช้วิธีทางการทูตกับอิหร่านโดยปราศจากเงื่อนไขก่อน [ 171 ] [ 172 ] [ 173 ] รายละเอียดของกลยุทธ์ของเขาเพื่อต่อสู้กับ การก่อการร้าย สากล ในเดือน [ [ สิงหาคม 2007 โอบามาพูดว่า “ เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมากที่รบล้มเหลว ” ซึ่งขัดกับการพบกับผู้นำอัลกออิดะฮ์ ใน ค.ศ. 2005 ที่หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐได้ยืนยันที่จะกระทำขึ้น ในพื้นที่รัฐบาลกลางของปากีสถาน เขากล่าวว่า ถ้าเป็นประธานาธิบดี เขาจะไม่สูญเสียโอกาสเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปากีสถานก็ตาม [ 174 ] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2005 คอลัมน์ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ The Washington Post และที่รวมพลังพิทักษ์ดาฟูร์ในเดือนเมษายน 2006 โอบามายังเรียกร้องให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อต่อต้าน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์ ดินแดนทางทางตะวันตกของ ประเทศซูดาน [ 175 ] เขายังได้ถอนเงิน 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,352,200 ล้านบาท ออกจากการยึดถือเงินส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเทศซูดาน และได้ถอนการทำธุรกิจบริษัทต่าง ๆ ออกจาก ประเทศอิหร่าน [ 176 ] ในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม ค.ศ. 2007 เรื่องนโยบายเกี่ยวกับงานด้านการต่างประเทศ โอบามาได้เรียกร้องให้มองนโยบายที่ส่งทหารไปประจำการใน สงครามอิรัก ออกไปข้างนอก และจัดตั้งกองทัพสหรัฐขึ้นมาใหม่ การทูต และจริยธรรมของผู้นำในโลก การกล่าวว่า “ เราไม่สามารถล่าถอยจากโลกและพยายามข่มขู่ข้าศึกเพื่อให้ยอมจำนน ” โอบามาได้ปราศรัยต่อหน้าประชาชนอเมริกันว่า “ นำโลกโดยการกระทำเป็นตัวอย่าง ” [ 177 ] เดือนเมษายน ค.ศ. 2005 ในงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขาได้พูดสนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมเพื่อการค้าใหม่ ของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ และคัดค้านข้อเสนอจากทางพรรคริพับลิกัน ที่จะจัดตั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อสวัสดิการสังคม [ 178 ] ภายหลังจากควันหลง พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา โอบามาพูดต่อต้านรัฐบาลว่า ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งแยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยังเรียกร้องไปยังพรรคการเมือง ให้มีการรื้อฟื้นเครือข่ายความปลอดภัยเพื่อคนจน [ 179 ] ก่อนที่จะมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาได้กล่าวไว้ว่าเขาสนับสนุนการดูแลสุขภาพในสหรัฐ [ 180 ] เขาได้เสนอการให้รางวัลแก่ครูจากการสอนหนังสือ ตามระบบที่มีการให้สิ่งตอบแทนที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณี สร้างความมั่นใจให้แก่สหภาพครูว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในกระบวนการข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับค่าจ้างชั่วโมงทำงาน [ 181 ] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 โอบามากล่าวโทษกลุ่มที่มีผลประโยชน์ที่หลบเลี่ยงการจัดเก็บภาษี [ 182 ] ในแผนการของโอบามาจะไม่มีการเก็บภาษีจากพลเมืองอาวุโส ที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,764,500 บาท ต่อปี แต่เพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,822,500 บาท ต่อปี เฉกเช่นเงินทุนที่ได้มาและเงินปันผลจากการตัดภาษี จัดการบริษัทที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเกี่ยวกับภาษีในการโกงภาษี [ 183 ] ยกเลิกรายได้ที่ต่อยอดมาจากภาษีที่ใช้รักษาความปลอดภัยในสังคม ควบคุมภาษีของบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และการเพิ่มภาษีรายได้ให้เด่นชัด ซึ่งได้ส่งกลับไปก่อนที่จะมีการเพิ่มค่าจ้าง และข้อมูลทางธนาคาร แล้วจึงจะรวบรวมโดยหน่วยงานบริการรายได้ภายใน ( IRS ) [ 184 ] การประกาศนโยบายวางแผนพลังงานในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน [ [ ตุลาคม ค.ศ. 2007 โอบามาเสนอขีดจำกัดเกี่ยวกับระบบการขายทอดตลาดเพื่อที่จะจำกัดการแพร่กระจายของคาร์บอน และโปรแกรมการลงทุน 10 ปี ในแหล่งพลังงานใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันของสหรัฐ [ 185 ] โอบามาเสนอว่าสินเชื่อมลภาวะจะต้องขายทอดตลาด ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทน้ำมันและแก๊ส และการใช้จ่ายภาษีอากรตลอดจนไปถึงเรื่องของการพัฒนาและค่าใช้จ่ายการขนส่งทางเศรษฐกิจ [ 186 ] โอบามาได้กระตุ้นพรรคเดโมแครตให้เข้าถึงกลุ่ม นิกายโปรแตสแตนต์ และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ให้ได้ [ 187 ] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 เขาได้ร่วมกับวุฒิสมาชิก แซม บราวน์แบล็ก ในองค์กรช่วยเหลือ โรคเอดส์ โลก ( Global Summit on AIDS and the Church ) ซึ่งก่อตั้งโดย Kay and Rick Warren [ 188 ] ในช่วงที่เขาทำงานอยู่กับ Warren และ บราวน์แบล็กนั้น โอบามาได้ทดสอบเกี่ยวกับเชื้อเอดส์ ตามที่เขาได้ทำใน ประเทศเคนยา อย่างน้อย 4 เดือน [ 189 ] ก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นในสาธารณชนอื่น ๆ ทำเช่นเดียวกันและไม่ใช่เรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด [ 190 ] ก่อนการประชุมได้มีกลุ่มต่อต้าน การทำแท้ง 18 คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับสิ่งที่โอบามาสนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ในจดหมายมีเนื้อหาว่า “เราต่อต้าน Rick Warren อย่างรุนแรงในการตัดสินใจที่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับจุดยืนของการตายอย่างชัดเจนของวุฒิสมาชิกโอบามา และเชิญเขามาที่โบสถ์ Saddle Back” ในการกล่าวกับสมาชิกของนิกายคริสต์กว่า 8,000 คนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 โอบามาขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้นำของชาวคริสเตียนที่จะกระตือรือร้นเป็นผู้แบ่งแยกเรา” [ 191 ]
ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
โอบามา ได้พบกับ มิเชล โรบินสัน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1989 ขณะที่เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ในช่วงซัมเมอร์ที่บริษัทกฎหมาย Sidley Austin ในเมืองชิคาโก [ 192 ] หลังจากนั้นโรบินสันก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้ในตำแหน่งที่ปรึกษาของโอบามาเป็นระยะเวลา 3 เดือน โรบินสันได้คบหาสมาคมแบบกลุ่มกับโอบามา แต่กลับปฏิเสธการขอเดทครั้งแรกจากโอบามา [ 193 ] ต่อมา พวกเขาออกเดทกันในซัมเมอร์นั้น และเป็นแฟนกันใน ค.ศ. 1991 จนกระทั่งแต่งงานในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1992 [ 194 ] ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คนคือ มาเลีย แอน ( เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 [ 195 ] ) และ นาตาชา ( “ ซาชา ”, เกิดปี 2001 ) [ 196 ] ในชิคาโก ครอบครัวโอบามาได้ส่งลูกสาวทั้ง 2 คนไปเรียนที่ University of Chicago Laboratory Schools และเริ่มต้นใช้ชีวิตที่ วอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากนั้นก็ส่งไปเรียนต่อที่ Sidwell Friends School [ 197 ] ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อนร่วมสถาบันแทนที่จะเรียกชื่อของเขาว่าบารัก แต่กลับตั้งฉายาให้เขาใหม่ว่า “ แบรี่ ” ( Barry ) ที่แปลว่าคนผิวดำ ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกพอสมควร [ 198 ]
ประโยชน์จากการขายหนังสือทำให้ครอบครัวของโอบามาย้ายจาก Hyde Park ไปยังคอนโดมิเนียมในชิคาโก ย่านเคนวูด ( Kenwood ) มูลค่า 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน [ 199 ] การซื้อขายบ้านให้โอบามานี้เกิดขึ้นโดยภรรยาผู้บุกเบิกและเพื่อนของเขาคือ Tony Rezko ได้ดึงดูดความสนใจจากสื่อ เนื่องจากคำฟ้องร้องของ Rezko และตัดสินว่ามีความผิด ในเรื่องของข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางการเมืองว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอบามา [ 200 ] [ 201 ] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิตยสาร Money ได้ประเมินทรัพย์สินของครอบครัวโอบามาที่ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 45.87 ล้านบาท ( การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ) [ 202 ] ภาษีของพวกเขาใน ค.ศ. 2007 ชี้ให้เห็นว่ารายได้ของครอบครัวนี้อยู่ที่ 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 148.21 ล้านบาท ( การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ) เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 2006 และ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 56.45 ล้านบาท ( การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ) ในปี 2005 รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการขายหนังสือของเขา [ 203 ]
ใน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ให้สัมภาษณ์โดยเน้นจุดเด่นของความแตกต่างกันของครอบครัวขนาดใหญ่ของเขาว่า “ มิเชล จะบอกคุณว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกันในวันคริสต์มาส หรือ วันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเสมือนเป็นสหประชาชาติขนาดเล็ก ๆ “ เขาพูดว่า “ ผมมีญาติซึ่งเหมือน เบอร์นี แมค และผมมีญาติซึ่งเหมือน มาร์กาเรต แทตเชอร์ “ [ 205 ] โอบามามีญาติทางพ่อเขาซึ่งเป็นชาวเคนยา 7 คน โดย 6 คนยังมีชีวิตอยู่ และน้องสาวของต่างบิดาของเขา มายา ซูโตโร ซึ่งเกิดกับแม่ของโอบามาและสามีคนที่สองที่เป็นชาว อินโดนีเซีย [ 206 ] แม่ของโอบามามีมารดาเป็นชาวแคนซัส ชื่อ เมดาลีน ดันแฮม [ 207 ] จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะมี การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008 เพียง 2 วัน [ 208 ] ในหนังสือ Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance หรือในชื่อภาษาไทย บารัก โอบามา ผมลิขิตชีวิตตัวเอง อัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความคิด และมุมมองที่มีต่อเรื่องสีผิว โอบามามักจะบอกว่าเขาไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพราะเป็นคนเด่นดัง แต่ต้องการบันทึกเรื่องราวของเชื้อชาติ และมรดกทางปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาตัวตน โอบามามีครอบครัวทางมารดาเชื้อชาติอเมริกันและเป็นญาติห่าง ๆ กับเจฟเฟอร์สัน เดวิส ซึ่งเป็นประธานสมาพันธ์ภาคใต้ในระหว่าง สงครามกลางเมืองอเมริกา [ 209 ] ปู่ทวดและตาทวดของโอบามาต่อสู้ใน สงครามโลกครั้งที่สอง พี่ชายของปู่ย่าตายายของโอบามาสังกัดกองพลที่ 89 ที่บุกไปยังค่าย Ohrdruf [ 210 ] ซึ่งเป็นค่ายนาซีค่ายแรกที่ถูกกองทัพสหรัฐทำลาย [ 211 ] โอบามาเล่น บาสเกตบอล เป็นสมาชิกในทีมนักบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย [ 212 ] นอกจากนี้เขายังมีความพยายามในการเลิกสูบบุหรี่เป็นเวลาหลายครั้ง รวมไปถึงการเป็นแบบอย่างของสาธารณชนที่ดี และพยายามอย่างต่อนเองก่อนที่จะหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี [ 213 ] และประกาศว่าจะไม่สูบบุหรี่ใน ทำเนียบขาว เป็นอันขาด [ 214 ] โอบามาเป็นชาว คริสต์ ซึ่งเป็นศาสนาที่เขานับถือเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ในหนังสือ The Audacity of Hope หรือในชื่อภาษาไทย กล้าหวัง กล้าเปลี่ยน รวบรวมสุนทรพจน์และปาฐกถา และสะท้อนแนวคิดทางการเมืองที่จะนำอเมริกาไปสู่ความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมุมมองในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ทั้งความเหลื่อมล้ำในสังคม คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็งในเวทีโลกให้แก่อเมริกา โอบามาได้เขียนว่า ไม่ได้ยกเลิกการนับถือศาสนาในครอบครัว เขาอธิบายเกี่ยวกับมารดาของเขาว่าเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามทั้งนิกาย เมทอดิสต์ และนิกาย แบปทิสต์ ซึ่งยังไม่ได้ถอนตัวออกจากศาสนาเสียทีเดียว ในหลาย ๆ วิธีที่บุคคลที่ตื่นตัวแล้วส่วนมากที่นิยมไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาอธิบายเกี่ยวกับบิดาชาวเคนยาของเขาว่า ไม่เป็น มุสลิม แต่เป็นผู้ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพ่อและแม่ของเขาเชื่อในขณะนั้น และพ่อเลี้ยงชาวอินโดนีเซียของเขาเป็นผู้เห็นว่าศาสนาไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในหนังสือนี้โอบามาได้อธิบายวิธีทำงานร่วมกับคนผิวดำในโบสถ์ต่าง ๆ ในองค์กรชุมชน ในช่วงที่เขามีอายุประมาณ 20 ปี เขาได้เข้าใจเกี่ยวกับพลังอำนาจของศาสนา แอฟริกันอเมริกัน ที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน [ 215 ] [ 216 ] เขาได้รับชื่อใน พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน ที่ สหคริสตจักรตรีเอกานุภาพแห่งพระคริสต์ ( Trinity United Church of Christ ) ใน ค.ศ. 1988 [ 217 ] [ 218 ] นอกเหนือจาก ภาษาอังกฤษ แล้ว โอบามายังพูด ภาษาอินโดนีเซีย ได้อีก แต่พูดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในสมัยที่เขาย้ายไปเรียนที่ จาการ์ตา ตอนอายุ 4 ขวบ [ 219 ] หลังจากการประชุมลับสุดยอด เอเปค ที่ ประเทศเปรู ในปี 2008 ประธานาธิบดี ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน แห่ง อินโดนีเซีย ต่อสายสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไปยังโอบามา โดยออกอากาศสดทางสื่อต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย โอบามาพูดกับซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน ว่าเขาคิดถึงอาหารอินโดนีเซียอย่างเช่น นาสิ โกเล็ง, บาคโซ และ เงาะ [ 220 ]
ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทางการเมือง
โอบามามีพ่อเป็นชาว เคนยา แม่เป็นชาว อเมริกัน ผิวขาว เขาได้รับการอบรมสั่งสอนในวัยเด็กที่ โฮโนลูลู และ จาการ์ตา จบจาก ไอวีลีก ประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยเริ่มต้นของโอบามาแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากนักการเมืองอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเหล่านั้น ผู้ซึ่งดำเนินวิถีทางของพวกเขาเอง ใน ค.ศ. 1960 พวกเขามีแนวคิดในการมีส่วนร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง [ 221 ] การแสดงความงุนงงให้เห็นเกี่ยวกับคำถามที่ว่าเขาดำพอแล้วหรือยัง โอบามากล่าวในการประชุมที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์ของคนผิวดำแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 ว่าการอภิปรายไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย หรือนโยบายของเขาที่จดบันทึก ที่เป็นห่วงถึงผู้ออกเสียงที่เป็นคนผิวดำ โอบามากล่าวว่า “ เรายังคงติดแน่นอยู่กับความรู้สึกนี้ที่ว่าถ้าคุณไปอ้อนวอนแต่พวกผิวขาวก็เหมือนกับว่าคุณกำลังทำอะไรผิด ” [ 222 ]
โอบามาแถลงการณ์ประธานาธิบดีฉบับแรก ชี้แจงถึงรัฐบัญญัติฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุน ค.ศ. 2009 เสียงสะท้อนจากคำแถลงการณ์ ในการเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี อย่างเป็นทางการของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี โอบามายอมรับความจริงเกี่ยวกับภาพพจน์ของเขาในตอนแรกเริ่ม ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ว่า “ ข้าพเจ้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกเป็นอันขาด ถ้าหากว่าตะเกียงยังไม่ได้จุดขึ้นมาใหม่ ” [ 223 ] และมีสำนวนที่กินใจอยู่สำนวนหนึ่งคือ “ Rosa sat thus Martin could walk ; Martin walked therefore Obama could run. ” [ 224 ] โอบามายังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราศรัยต่อสาธารณชน เมื่อเทียบกับนักพูดที่มีชื่อเสียงในอดีต อย่าง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ [ 225 ] [ 226 ] คำกล่าวของเขาที่มีชื่อเสียง เช่น “ Yes We Can ” ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในดนตรีที่สร้างขึ้นมาโดย วิล.ไอ.แอม มีประชาชนทั่วโลกกว่า 10 ล้านคนดู วิดีโอ นี้ทางเว็บ ยูทูบ ( YouTube.com ) เพียงแค่ 7 เดือนแรกเท่านั้น [ 227 ] และยังได้รับ รางวัลเอ็มมี อีกด้วย [ 228 ] ศาสตราจารย์ Jonathan Haidt แห่ง มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ได้วิจัยประสิทธิผลจากการพูดของโอบามาในที่สาธารณะ และมีเหตุผลที่สรุปได้ว่ามีประสิทธิผลมาก เพราะนักการเมืองมักมีความช่ำชองในการพูดปลุกเร้าอารมณ์ และปรารถนาที่จะประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลธรรมต่อผู้อื่น [ 229 ] ส่วนการชี้แจงถึงนโยบายต่าง ๆ และการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น โอบามามีแผนที่จะจัดรายการโทรทัศน์เพื่อพบปะกับประชาชน เหมือนกับรายการ “ ไฟล์ไซต์ แชท ” ที่โด่งดังของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ [ 230 ] นักวิเคราะห์หลายคนได้อ้างถึงการเป็นที่สนใจของต่างชาติของโอบามา เป็นการให้คำจำกัดความสำหรับภาพพจน์ของเขา [ 231 ] ไม่เพียงแต่โพลจากหลายสำนัก ที่แสดงพลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ [ 232 ] แต่โอบามายังได้สร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น โทนี แบลร์ อดีต นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งพบกันใน ค.ศ. 2005 [ 233 ], วอลเตอร์ เวลโทนี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของอิตาลี ที่มาเยี่ยมเยียนยังสำนักงานวุฒิสภาของโอบามาใน ค.ศ. 2005 [ 234 ] และ นีกอลา ซาร์กอซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งเคยมาเยี่ยมเยียนโอบามาใน ค.ศ. 2006 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. [ 235 ] โอบามาชนะ รางวัลแกรมมี ในหมวดหมู่รางวัล Best Spoken Word Album จากการตัดต่อคำพูดลงในเทปบันทึกของหนังสือ “Dreams from My Father” ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 และ “The Audacity of Hope” ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 [ 236 ] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 นิตยสารไทม์ เลือกบารัก โอบามาให้เป็น บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2008 [ 237 ] วันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ให้บารัก โอบามา ได้รับ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยข้อความที่ได้รับรางวัล คือ “ สำหรับความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่การทูตระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างผู้คนทั่วโลก ”
งานเขียน
- The Audacity of Hope: Thoughts on Reclaiming the American Dream,(2006). Crown Publishers, Division of Random House, NY
- Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance, (1995). Time Books an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY
- Change We Can Believe In: Barack Obama’s Plan to Renew America’s Promise, (2008). Three Rivers Press, an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY