เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ ( อังกฤษ : Taylor Alison Swift ; เกิด 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เธอเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงร่วมสมัยยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและเป็นที่สนใจของสื่ออย่างมาก สวิฟต์เกิดและเติบโตในเวสต์เรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย เธอย้ายไปยังเมือง แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ขณะอายุ 14 ปี เพื่อหางานทำเกี่ยวกับ เพลงคันทรี เธอได้เซ็นสัญญากับบริษัท โซนี/เอทีวีมิวสิกพับบลิชชิง ใน ค.ศ. 2004 และเซ็นสัญญากับค่ายเพลง บิกแมชีนเรเคิดส์ ใน ค.ศ. 2005 และออกอัลบั้มแรกใน ชื่อเดียวกับตนเอง ใน ค.ศ. 2006 สวิฟต์ทำดนตรีคันทรีป็อปในอัลบั้มที่สองและสาม เฟียร์เลส ( 2008 ) และ สปีกนาว ( 2010 ) ความสำเร็จจากซิงเกิลในอัลบั้มที่สอง “ เลิฟสตอรี “ และ “ ยูบีลองวิทมี “ ในคลื่นวิทยุเพลงคันทรีและเพลงป็อปทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินข้ามแนวเพลงที่โดดเด่น เธอยังได้ทดลองดนตรีแนวป็อป ร็อก และอิเล็กทรอนิกส์ในอัลบั้มที่สี่ เรด ( 2012 ) อัลบั้มทีห้า 1989 ( 2014 ) เปลี่ยนสถานะสวิฟต์จากศิลปินคันทรีเป็นป็อปสตาร์ โดยมีแรงสนับสนุนจากซิงเกิลอันดับหนึ่งบน บิลบอร์ด ฮอต 100 ได้แก่ “ เชกอิตออฟ “ “ แบลงก์สเปซ “ และ “ แบดบลัด “ การที่สื่อให้ความสนใจในชีวิตส่วนตัวของเธอมากขึ้นบันดาลใจให้เกิดอัลบั้มที่หก เรพิวเทชัน ( 2017 ) ซึ่งดนตรีเปลี่ยนเป็นแนว เออร์เบินร่วมสมัย หลังจากแยกทางกับค่ายบิกแมชีน แล้วเซ็นสัญญากับ รีพับลิกเรเคิดส์ ใน ค.ศ. 2018 สวิฟต์ออกอัลบั้มที่เจ็ด เลิฟเวอร์ ใน ค.ศ. 2019 หลังจากประสบความสำเร็จในทศวรรษ 2010 เธอก้าวเข้าสู่ดนตรีแนว อินดีโฟล์ก และ ออลเทอร์นาทิฟร็อก ในอัลบั้มสองชุดที่ออกใน ค.ศ. 2020 คือ โฟล์กลอร์ และ เอเวอร์มอร์ ซึ่งเนื้อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากการเก็บตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้รับคำชมในเรื่องการเล่าเรื่องที่คล้ายกัน เพื่อให้ได้สิทธิ์การครอบครองกลับคืนมา หลังเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับงานต้นฉบับของสวิฟต์ เธอออกอัลบั้มเพลงที่บันทึกเสียงใหม่ออกมาสองชุดใน ค.ศ. 2021 ได้แก่ เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) และ เรด (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ทั้งสองอัลบั้มได้รับคำชมในด้านดนตรีที่มีคุณภาพมากขึ้น และเสียงร้องที่พัฒนาขึ้นจากเดิม นอกจากดนตรี สวิฟต์ได้รับบทในภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ( 2010 ) และ แคตส์ ( 2019 ) เธอออกภาพยนตร์สารคดีอัตชีวประวัติเรื่อง มิสอเมริกานา ( 2020 ) และภาพยนตร์มิวสิคัลที่เธอกำกับเอง ได้แก่ โฟล์กลอร์: เดอะลองพอนด์สตูดิโอเซสชันส์ ( 2020 ) และ ออลทูเวล: เดอะชอร์ตฟิล์ม ( 2021 ) และอื่น ๆ สวิฟต์เป็นหนึ่งในศิลปินนักดนตรีที่ขายดีที่สุดตลอดกาล เธอขายอัลบั้มได้มากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก เธอได้รับรางวัลแกรมมี 11 รางวัล ( รวมรางวัลอัลบั้มแห่งปีสามรางวัล ) เอมมีอะวอดส์ 1 รางวัล รางวัล บิลบอร์ด มิวสิกอะวอดส์ 25 รางวัล รางวัลสมาคมเพลงคันทรี 12 รางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 34 รางวัล ( ศิลปินที่ได้รับมากที่สุด ) และได้รับการบันทึกใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 49 รายการ เธออยู่ในรายชื่อ 100 นักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดโดยนิตยสาร โรลลิงสโตน เป็นอันดับที่แปดในรายชื่อศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดอันดับโดย บิลบอร์ด และอยู่ในการจัดอันดับอีกมากมาย เช่น ไทม์ 100 และ คนดัง 100 คนของฟอบส์ บิลบอร์ด แต่งตั้งให้สวิฟต์เป็นสตรีแห่งทศวรรษ 2010 และอเมริกันมิวสิกอะวอดส์แต่งตั้งให้เป็นศิลปินแห่งทศวรรษ 2010 สวิฟต์เป็นที่จดจำในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิและอำนาจสตรีในอุตสาหกรรมดนตรี

เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ เกิดในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่ เรดดิง รัฐเพนซิลเวเนีย [ 1 ] พ่อของเธอชื่อ สกอตต์ คิงสลีย์ สวิฟต์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน แม่ของเธอ แอนเดรีย การ์ดเนอร์ ( ชื่อก่อนสมรส ฟินเลย์ ) สวิฟต์ เป็นผู้รับจ้างทำงานบ้านที่เคยทำงานเป็นกรรมการบริหาร กองทุนรวม [ 2 ] สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน [ 3 ] สวิฟต์ใช้ชีวิตช่วงปีแรก ๆ ในไร่นาต้นคริสต์มาสทีพ่อซื้อต่อจากลูกค้าคนหนึ่ง [ 4 ] [ 5 ] เธอเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล และชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอัลเวอร์เนียมอนเทสซอรีสกูล เปิดสอนโดยแม่ชี คณะฟรันซิสกัน [ 6 ] ก่อนย้ายเข้า โรงเรียนวินด์ครอฟต์สกูล [ 7 ] ต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชานเมือง ไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย [ 8 ] เธอเข้าเรียนที่ โรงเรียนไวโอมิสซิงเอเรียจูเนียร์/ซีเนียร์ไฮสกูล [ 9 ] เมื่ออายุ 9 ปี สวิฟต์เริ่มสนใจการละครเวที และแสดงในละครเวทีที่เบิกส์ยูธเธียเตอร์อะคาเดมี [ 10 ] เธอเดินทางไปบรอดเวย์เป็นประจำเพื่อเรียนร้องเพลงและการแสดง [ 11 ] ต่อมาสวิฟต์เริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่ดนตรีคันทรี เพลงของ ชะไนยา ทเวน ทำให้เธอ “ อยากวิ่งรอบช่วงตึก 4 รอบและฝันกลางวันถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ” [ 12 ] เธอใช้เวลาสุดสัปดาห์แสดงตามงานเทศกาลในท้องถิ่น และอีเวนต์ต่าง ๆ [ 13 ] [ 14 ] หลังจากชมสารคดีเกี่ยวกับ เฟธ ฮิลล์ สวิฟต์รู้สึกมั่นใจว่าเธอต้องการเดินทางไปสานฝันงานดนตรีที่ แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี [ 15 ] เมื่ออายุ 11 ปี เธอเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่เพื่อส่งเดโมเพลง ซึ่งเป็นเพลงคาราโอเกะของ ดอลลี พาร์ตัน และ ดิกซีชิกส์ นำมาขับร้องใหม่ [ 16 ] แต่เธอถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุที่ว่า “ ทุกคนในเมืองนั้นก็อยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำเหมือนกัน ดังนั้น ฉันจึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ฉันต้องหาทางทำสิ่งที่แตกต่างออกไป ” [ 17 ] เมื่อสวิฟต์อายุ 12 ปี รอนนี เครเมอร์ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์และนักดนตรี สอนเธอเล่นกีตาร์ 3 คอร์ด บันดาลให้เธอเขียนเพลงแรก “ ลักกียู ” [ 18 ] [ 19 ] ใน 2003 สวิฟต์และพ่อแม่ของเธอเริ่มทำงานกับผู้จัดการดนตรี แดน ดิมโทรว์ ในนิวยอร์ก ด้วยความช่วยเหลือของดิมโทรว์ สวิฟต์เป็นแบบให้แก่บริษัท เอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ “ ไรซิงสตาส์ ” และมีเพลงต้นฉบับรวมในอัลบั้มรวมเพลงของตราสินค้า เมย์เบลลีน และเข้าร่วมประชุมกับค่ายเพลงหลักมากมาย [ 20 ] หลังจากแสดงเพลงที่งานมหรสพของสังกัด อาร์ซีเอเรเคิดส์ สวิฟต์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นเกรด 8 ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้อง และเริ่มเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่ของเธอบ่อยขึ้น [ 21 ] [ 22 ] พ่อของเธอย้ายไปทำงานออฟฟิศของ เมร์ริลลินช์ ที่แนชวิลล์เพื่อช่วยส่งเสริมสวิฟต์ทำงานดนตรีคันทรี ขณะที่เธออายุ 14 ปี และครอบครัวย้ายที่อยู่ไปที่บ้านริมทะเลสาบใน เฮนเดอร์สันวิลล์ รัฐเทนเนสซี [ 4 ] [ 23 ] สวิฟต์เข้าเรียนที่ โรงเรียนเฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล [ 24 ] แต่เรียนได้สองปี เธอก็ย้ายไปเรียนที่สถาบันแอรอนอะคาเดมี โรงเรียนคริสต์เอกชนที่มีบริการเรียนที่บ้านได้ เพื่อให้สะดวกต่อการทัวร์ และเธอจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี [ 25 ] ที่แนชวิลล์ เธอร่วมงานกับนักแต่งเพลงย่านมิวสิกโรว์มากมาย เช่น ทรอย เวอร์จิส เบรตต์ บีเวอส์ เบรตต์ เจมส์ แม็ก แม็กอะแนลลี และ เดอะวอร์เรนบราเธอส์ [ 26 ] [ 27 ] จนเธอได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานชื่อ ลิซ โรส [ 28 ] พวกเธอประชุมกันในคาบแต่งเพลงทุกวันอังคารตอนบ่ายหลังเรียน [ 29 ] โรสกล่าวว่า คาบแต่งเพลงนั้นเป็น “ อะไรที่ง่ายที่สุดที่ฉันเคยได้ทำ พูดง่าย ๆ คือ ฉันเป็นบรรณาธิการของเธอ เธอจะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในวันนั้น เธอมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการจะพูด และเธอจะคิดท่อนสร้อยที่น่าเหลือเชื่อได้เสมอ ” สวิฟต์ได้เซ็นสัญญากับ โซนี/เอทีวีทรีพับลิชชิง [ 30 ] แต่ลาออกจากสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์เมื่ออายุ 14 ปี [ 14 ] เธอระลึกได้ว่า “ ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังหมดเวลา ฉันอยากเก็บความทรงจำในชีวิตของฉันหลายปีมานี้ไว้ในอัลบั้มสักอัลบั้ม ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงแทนสิ่งที่ฉันเคยผ่านมาได้อยู่ ” [ 31 ] ณ งานมหรสพแห่งหนึ่งที่ร้านกาแฟ บลูเบิร์ดคาเฟ ในเมืองแนชวิลล์เมื่อ ค.ศ. 2005 สวิฟต์เป็นที่ต้องตาต้องใจของ สก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้บริหารค่าย ดรีมเวิกส์เรเคิดส์ ที่กำลังเตรียมตัวก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตนในชื่อ บิกแมชีนเรเคิดส์ เธอเคยพบกับบอร์เชตตาแล้วใน ค.ศ. 2004 [ 32 ] เธอได้เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา โดยพ่อของเธอจ่ายเงินช่วยบริษัท 3 % เป็นเงินจำนวนประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ [ 33 ] [ 34 ] สวิฟต์เริ่มทำ อัลบั้มแรกของเธอโดยตั้งชื่อเธอให้เป็นชื่ออัลบั้ม ไม่นานหลังเซ็นสัญญา สวิฟต์โน้มน้าวให้ค่ายบิกแมชีนจ้างโปรดิวเซอร์เพลงชื่อนาธาน แชปแมน ที่เธอรู้สึกว่ามีเคมีตรงกัน [ 14 ] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบั้มเอง 3 เพลง และร่วมแต่งเพลงที่เหลืออีกแปดเพลงกับนักแต่งเพลง เช่น โรส เอลลิส ออร์รอล ไบรอัน เมเฮอร์ และ แอนเจโล เพทราเกลีย [ 35 ] อัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2006 [ 36 ] จอน คารามานิกา จากหนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดถึงอัลบั้มนี้ว่าเป็น “ งานเล็ก ๆ ชิ้นเยี่ยมที่เป็นคันทรีผสมป็อป ทั้งเรียบง่ายและถากถาง รวมกันไว้ด้วยเสียงร้องที่อ้อนวอนและแน่วแน่ของคุณสวิฟต์ ” [ 37 ] อัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ ขึ้นสูงสุดอันดับที่ห้าในชาร์ต บิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตนาน 157 สัปดาห์ นานที่สุดในบรรดาอัลบั้มที่ออกในคริสต์ทศวรรษ 2000 [ 38 ] นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 อัลบั้มขายได้มากกว่า 7.75 ล้านชุดทั่วโลก [ 39 ] บิกแมชีนเรเคิดส์เพิ่งเปิดค่ายใหม่ ขณะที่ออกซิงเกิลนำ “ ทิม แม็กกรอว์ “ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 สวิฟต์กับแม่ช่วยกัน “ นำซีดีซิงเกิลใส่ซองจดหมายและส่งให้สถานีวิทยุ ” [ 40 ] เธอใช้เวลาทั้ง ค.ศ. 2006 เดินสายส่งเสริมอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ ตามสถานีวิทยุและรายการโทรทัศน์ [ 41 ] [ 42 ] บอร์เชตตากล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจให้เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เซ็นสัญญา แรกเริ่มทำให้เพื่อนร่วมวงการเป็นกังวล แต่สวิฟต์ก้าวเข้าสู่กลุ่มตลาดดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นสาวที่ฟังเพลงคันทรี [ 4 ] หลังจากออกซิงเกิล “ ทิม แม็กกรอว์ ” มีซิงเกิลออกตามมาอีกสี่ซิงเกิลตลอด ค.ศ. 2007-2008 ได้แก่ “ เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์ “ “ อาวเวอร์ซอง “ “ พิกเชอร์ทูเบิร์น “ และ “ ชูดัฟเซดโน “ ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จบนชาร์ตบิลบอร์ด ฮอตเพลงคันทรี “ อาวเวอร์ซอง ” และ “ ชูดัฟเซดโน ” ขึ้นอันดับหนึ่ง เพลง “ อาวเวอร์ซอง ” ทำให้สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งเอง ร้องเพลงคันทรีเอง และขึ้นอันดับหนึ่งได้ [ 43 ] “ เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์ ” กลายเป็นเพลงแนวป็อปที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง ขึ้นอันดับ 13 บนชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 44 ] สวิฟต์ยังออกอัลบั้มวันหยุด ได้แก่ ซาวส์ออฟเดอะซีซัน: เดอะเทย์เลอร์ สวิฟต์ฮอลลิเดย์คอลเล็กชัน เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 และอีพีชื่อ บิวตีฟูลอายส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 [ 45 ] [ 46 ] เธอส่งเสริมอัลบั้มแรกเพิ่มเติมด้วยการพบปะทักทายกับแฟนเพลง ร้องเพลงที่ได้รับความนิยม และเป็นศิลปินเปิดคอนเสิร์ตให้ศิลปินคนอื่น ๆ [ 47 ] สวิฟต์ได้รับรางวัลจากอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ หลายรางวัล เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี โดย สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ใน ค.ศ. 2007 เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ [ 48 ] เธอยังได้รางวัลฮอไรซันอะวอร์ดสาขาศิลปินหน้าใหม่โดย สมาคมดนตรีคันทรี [ 49 ] รางวัล อะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขานักร้องนำหญิงคนใหม่ยอดเยี่ยม [ 50 ] และรางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอร์ด สาขาศิลปินคันทรีหญิงคนโปรด [ 51 ] เธอยังได้เข้าชิง รางวัลแกรมมี สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ค.ศ. 2008 [ 52 ] ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เธอคบหากับ โจ โจนาส แต่ความสัมพันธ์จบลงหลังจากนั้นสามเดือน [ 53 ] [ 54 ] สตูดิโออัลบัมที่สองของสวิฟต์ชื่อ เฟียร์เลส วางจำหน่ายวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 [ 36 ] ซิงเกิลนำ “ เลิฟสตอรี “ ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 ขึ้นสูงสุดอันดับที่สี่บนชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 55 ] และอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย [ 56 ] มีซิงเกิลออกจำหน่ายอีกสี่ซิงเกิลตลอด ค.ศ. 2008–2009 ได้แก่ “ ไวต์ฮอร์ส “ “ ยูบีลองวิทมี “ “ ฟิฟทีน “ และ “ เฟียร์เลส “ เพลง “ ยูบีลองวิทมี ” เป็นซิงเกิลที่ขึ้นอันดับสูงที่สุดในอัลบัม ขึ้นถึงอันดับที่สองบนชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 57 ] อัลบัมเปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ต บิลบอร์ด 200 เป็นอัลบัมที่ขายดีที่สุดในสหรัฐใน ค.ศ. 2009 [ 58 ] สวิฟต์ออกทัวร์ของตนเองครั้งแรกส่งเสริมอัลบัม เฟียร์เลส ในทัวร์ชื่อ เฟียร์เลสทัวร์ [ 59 ] ทำรายได้ได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 60 ] ภาพยนตร์คอนเสิร์ต เทย์เลอร์ สวิฟต์: เจอร์นีย์ทูเฟียร์เลส ออกอากาศทางโทรทัศน์และจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์ [ 61 ] สวิฟต์ยังแสดงรับเชิญในทัวร์ชื่อ เอสเคปทูเก็ตเทอร์เวิลด์ทัวร์ ของ คีท เออร์เบิน [ 62 ] ใน 2009 มิวสิกวิดีโอเพลง “ ยูบีลองวิทมี ” ได้รางวัล เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด สาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม [ 65 ] ขณะเธอกล่าวรับรางวัล แร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เข้ามาขัดจังหวะ [ 66 ] เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อบ่อยครั้ง ทำให้เกิด อินเทอร์เน็ตมีม [ 67 ] เจมส์ มอนต์โกเมอรี จาก เอ็มทีวี เถียงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวและความสนใจจากสื่อทำให้สวิฟต์กลายเป็น “ คนดังตามกระแสอย่างแท้จริง ” [ 68 ] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาศิลปินแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรีชมเชย [ 69 ] บิลบอร์ด แต่งตั้งให้เธอเป็นศิลปินแห่ง ค.ศ. 2009 [ 70 ] อัลบัมติดอันดับ 99 ในรายชื่ออัลบัมเพลงผู้หญิงยอดเยี่ยม จัดอันดับโดย เอ็นพีอาร์ [ 71 ] ใน ค.ศ. 2010 สวิฟต์ได้รับรางวัลมากมายจากอัลบัม เฟียร์เลส ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เฟียร์เลส ได้รางวัลอัลบัมแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรียอดเยี่ยม ขณะที่เพลง “ ไวต์ฮอร์ส ” ได้รางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และการแสดงเพลงคันทรีหญิงยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปี [ 72 ] ในงาน สวิฟต์ร้องเพลง “ ยูบีลองวิทมี ” และ “ รีแอนนอน “ กับ สตีวี นิกส์ การแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์และปฏิกิริยาที่ไม่ดีจากสื่อ [ 68 ] [ 73 ] จอน คารามานิกาจาก เดอะนิวยอร์กไทมส์ เห็นว่า “ น่าชื่นใจที่เห็นคนบางคนมีพรสวรรค์จนบางครั้งก็มีผิดพลาดบ้าง ” และพูดถึงสวิฟต์ว่าเป็น “ ดาราป็อปคนสำคัญที่สุดคนใหม่ในรอบหลายปี ” [ 74 ] สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สมาคมดนตรีคันทรีแต่งตั้งเป็นผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี [ 75 ] อัลบัม เฟียร์เลส ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีจากสมาคมดังกล่าวด้วย [ 76 ] สวิฟต์ร้องเบื้องหลังให้เพลง “ ฮาล์ฟออฟมายฮาร์ต “ ของ จอห์น เมเยอร์ เป็นซิงเกิลจากอัลบัมที่สี่ แบตเทิลสตัดดีส์ ( 2009 ) [ 77 ] เธอร่วมแต่งและอัดเพลง “ เบสต์เดส์ออฟยัวร์ไลฟ์ “ กับเคลลี พิกเลอร์ [ 78 ] และร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ แฮนนาห์ มอนทานา: เดอะมูฟวี สองเพลง ได้แก่ “ ยูลออลเวส์ไฟนด์ยัวร์เวย์แบ็กโฮม “ และ “ เครซีเออร์ “ [ 64 ] สวิฟต์ร้องเพลงให้ซิงเกิล “ ทูอิสเบ็ตเทอร์แดนวัน “ ของ บอยส์ไลก์เกิลส์ แต่งโดยมาร์ติน จอห์นสัน [ 79 ] เธอร้อง เพลงประกอบภาพยนตร์ วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก หนึ่งในนั้นคือเพลง “ ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล “ กลายเป็นเพลงแรกที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ต คะเนเดียนฮอต 100 [ 80 ] [ 81 ] ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 เธอเริ่มคบหากับนักแสดง เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แต่เลิกรากันในปีเดียวกัน [ 82 ] [ 83 ] ภาพยนตร์รักตลกเรื่องดังกล่างออกฉายในปีต่อมา เธอแสดงเป็นแฟนสาวทึ่มของหนุ่มบ้านนอกนักเรียนไฮสกูล บทบาทที่ ลอสแอนเจลิสไทมส์ มองเห็น “ ศักยภาพที่ทำให้ดูตลกอย่างจริงจัง ” [ 84 ] ในบทสัมภาษณ์บทหนึ่ง นิตยสาร วาไรตี มองว่าเธอ “ ไม่ได้ถูกชี้นำชัดเจน ” และแย้งว่า “ เธอต้องหาผู้กำกับที่มีความสามารถคอยจำกัดขอบเขตพลังการแสดงที่มีมากเกินไป ” [ 85 ] สวิฟต์เริ่มงานแสดงในซีรีส์ ซีเอสไอ: ไครม์ซีนอินเวสติเกชัน ทางช่อง ซีบีเอส ตอนหนึ่งใน ค.ศ. 2009 รับบทเป็นวัยรุ่นหัวรั้น [ 86 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ กล่าวว่าตัวละครดังกล่าวทำให้สวิฟต์ดู “ ซนเล็กน้อย และซนอย่างเหลือเชื่อ ” [ 87 ] ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์เป็นทั้งพิธีกรและเป็นแขกรับเชิญตอนหนึ่งในรายการ แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ [ 88 ] เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี พูดถึงเธอว่า “ เป็นพิธีกรรายการ แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลย ” จากที่เธอ “ ดูท้าทายอยู่เสมอ ดูเหมือนจะสนุกสนาน และทำให้นักแสดงที่เหลือเล่นมุกตลกได้หลายมุก ” ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์คบหากับนักแสดง เจค จิลเลินฮาล เป็นช่วงสั้น ๆ [ 89 ] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์ออกเพลง “ ไมน์ “ ซิงเกิลแรกจากอัลบัมที่สามชื่อ สปีกนาว เข้าชาร์ตที่สหรัฐอันดับที่สาม ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สอง ( ถัดจาก มารายห์ แครี ) ในประวัติศาสตร์ของชาร์ตฮอต 100 ที่เปิดตัวที่ห้าอันดับแรกถึงสองเพลงในปีเดียวกัน อีกเพลงหนึ่งคือ “ ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล ” [ 90 ] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบัมเองและร่วมผลิตทุกเพลง [ 91 ] อัลบัม สปีกนาว วางจำหน่ายวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ต บิลบอร์ด 200 กลายเป็นอัลบัมที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่มียอดขายถึง 1 ล้านชุดในสัปดาห์แรก [ 92 ] อัลบัมทำลายสถิติ “ อัลบัมดิจิทัลที่ขายได้เร็วที่สุดโดยศิลปินหญิง ” ด้วยยอดดาวน์โหลด 278,000 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สวิฟต์จึงมีชื่อบันทึกใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เธอยังได้รับบันทึกอีกหนึ่งหัวข้อหลังจากเพลงในอัลบัม สปีกนาว 10 เพลง เปิดตัวในชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้ [ 93 ] [ 94 ] ซิงเกิลสามซิงเกิล “ ไมน์ ” “ แบ็กทูดีเซมเบอร์ “ และ “ มีน “ ขึ้นถึงสิบอันดับแรกในแคนาดา [ 81 ] เพลง “ มีน ” ชนะรางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และแสดงเดี่ยวเพลงคันทรียอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54 [ 95 ] เธอยังแสดงเพลงนี้ในงานด้วย แคลร์ ซัดดาท จากนิตยสาร ไทม์ รู้สึกว่าเธอ “ กลับมาร้องเพลงตรงคีย์และเป็นการแก้ตัว ” [ 96 ] และเจมี เดียร์เวสเตอร์จาก ยูเอสเอทูเดย์ กล่าวว่า คำตำหนิเธอเมื่อ ค.ศ. 2010 ทำให้เธอ “ เป็นนักแต่งเพลงและนักร้องร้องสดที่ดีกว่าเดิม ” [ 97 ] สวิฟต์ยังได้รับรางวัลอื่น ๆ กับอัลบัม สปีกนาว เช่น รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี จากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ( 2010 และ 2011 ) [ 98 ] [ 99 ] ผู้หญิงแห่งปี จากนิตยสาร บิลบอร์ด ( 2011 ) [ 100 ] และผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี จากโรงเรียนดนตรีคันทรี ( 2011 และ 2012 ) [ 101 ] และสมาคมดนตรีคันทรีใน ค.ศ. 2011 [ 102 ] สวิฟต์ได้รับรางวัลศิลปินแห่งปีและอัลบัมเพลงคันทรีชมเชยจากงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2011 [ 103 ] อัลบัม สปีกนาว รวมในรายชื่อ “ อัลบัมเพลงผู้หญิง 50 อัลบัมยอดเยี่ยมตลอดกาล ” ของนิตยสาร โรลลิงสโตน เมื่อ ค.ศ. 2012 อยู่ในอันดับที่ 45 นิตยสารเขียนว่า “ เพลงของเธออาจเปิดในคลื่นวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นหนึ่งในร็อกสตาร์ที่แท้จริงไม่กี่คนที่เรามีในเวลานี้ ที่มีหูกำหนดสิ่งที่ทำให้เพลงมีคุณภาพอย่างไร้ตำหนิ ” [ 104 ] สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมีนาคม ค.ศ. 2012 และทำรายได้ได้มากกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 105 ] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ออกอัลบัมบันทึกการแสดงสด สปีกนาวเวิลด์ทัวร์: ไลฟ์ [ 106 ] เดือนต่อมา สวิฟต์ร้อง เพลงประกอบภาพยนตร์ เกมล่าเกม “ เซฟแอนด์ซาวด์ “ ร่วมแต่งและอัดเสียงกับ เดอะซีวิลวอส์ และ ทีโบน เบอร์เน็ตต์ และเพลง “ อายส์โอเพน “ เพลง “ เซฟแอนด์ซาวด์ ” ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงที่แต่งประกอบสื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม [ 107 ] หลังจากร้องเพลง “ โบทออฟอัส “ ให้แก่ บี.โอ.บี. ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 [ 108 ] สวิฟต์คบหากับทายาทนักการเมือง คอเนอร์ เคนเนดี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ค.ศ. 2012 [ 109 ] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ออกซิงเกิล “ วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์ “ และเป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบัมที่สี่ เรด ซิงเกิลประสบความสำเร็จในต่างประเทศ กลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในสหรัฐและนิวซีแลนด์ [ 110 ] [ 111 ] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนไอทูนส์หลังเพลงออกได้ 50 นาที เป็น “ ซิงเกิลที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงดิจิทัล ” บันทึกใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ [ 112 ] จากนั้นสวิฟต์ออกซิงเกิลที่สอง “ บีกินอะเกน “ ในเดือนตุลาคม เพลงขึ้นอันดับที่เจ็ดในชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 113 ] และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี [ 113 ] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบัมออกตามมา ได้แก่ “ ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล “ “ 22 “ “ เอเวอรีติงแฮสเชนจด์ “ “ เดอะลาสต์ไทม์ “ และ “ เรด “ ซิงเกิล “ ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ” ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ครั้งใหญ่ [ 114 ] ขึ้นอันดับที่สองในสหรัฐ [ 113 ] อัลบัม เรด เป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวเพลงของสวิฟต์ [ 36 ] โดยเธอทดลองแนวเพลง ฮาร์ตแลนด์ร็อก ดั๊บสเตป และ แดนซ์ป็อป [ 12 ] อัลบัมออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ อัลบัมเปิดตัวอันดับหนึ่งในชาร์ต บิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 1.21 ล้านชุด เป็นยอดขายเปิดอัลบัมที่สูงที่สุดในทศวรรษ และทำให้สวิฟต์เป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบัมขายสัปดาห์แรกได้ถึงล้านชุดถึงสองอัลบัม บันทึกโดย บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ [ 115 ] [ 116 ] ในการส่งเสริมอัลบัม สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ เดอะเรดทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 2014 และทำรายได้ได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 117 ] อัลบัม เรด ได้รับรางวัลหลายรางวัล ได้แก่ เข้าชิงรางวัลแกรมมีในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 56 จำนวน 4 รางวัล [ 118 ] ซิงเกิล “ ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ได้รับรางวัลวิดีโอผู้หญิงยอดเยี่ยม ” จากงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 [ 119 ] สวิฟต์ได้ชื่อว่าศิลปินคันทรีหญิงยอดเยี่ยมในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2012 และศิลปินแห่งปีในงานของ ค.ศ. 2013 [ 120 ] [ 121 ] สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์มอบรางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินให้สวิฟต์ติดต่อกันเป็นปีที่ห้าและหกใน ค.ศ. 2012 และ 2013 ตามลำดับ [ 122 ] สวิฟต์ยังได้รับรางวัล พินนาเคิลอะวอร์ด จากสมาคม สำหรับความสำเร็จระดับ “ ไม่เหมือนใคร ” สวิฟต์เป็นผู้รับรางวัลดังกล่าวเป็นคนที่สองถัดจาก การ์ท บรุกส์ [ 123 ] ใน ค.ศ. 2013 สวิฟต์ร่วมแต่งเพลง “ สวีเทอร์แดนฟิกชัน “ กับ แจ็ก แอนโทนอฟฟ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง ขอสักครั้งให้ดังเป็นพลุแตก และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 71 สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม [ 124 ] เธอร้องรับเชิญให้แม็กกรอว์ ในเพลง “ ไฮเวย์โดนต์แคร์ “ บรรเลงกีตาร์โดยคีท เออร์เบิน [ 125 ] สวิฟต์ร้องเพลง “ แอสเทียส์โกบาย “ กับ เดอะโรลลิงสโตนส์ ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ในทัวร์ชื่อ 50 แอนด์เคาน์ติง [ 126 ] ต่อมาเธอกล่าวว่าวงนี้มีอิทธิพลหลักต่อภาพลักษณ์งานเพลงของเธอ [ 127 ] เธอแสดงกับ ฟลอริดาจอร์เจียไลน์ ในงาน คันทรีเรดิโอเซมินาร์ 2013 ในเพลง “ ครูส “ [ 128 ] นอกจากร้องเพลง สวิฟต์พากย์เสียงให้ออเดรย์ คนรักต้นไม้ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน คุณปู่โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง [ 129 ] ปรากฏในซิตคอม นิวเกิร์ล ( 2013 ) [ 130 ] เล่นบทรองในภาพยนตร์ พลังพลิกโลก ( 2014 ) [ 131 ] ในระหว่างนี้ เธอคบหากับนักร้องชาวบริติช แฮร์รี สไตลส์ [ 132 ] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 สวิฟต์ย้ายมาอาศัยที่แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก [ 133 ] ช่วงนี้เธอกำลังทำสตูดิโออัลบัมที่ห้า 1989 ร่วมกับนักแต่งเพลง แอนโทนอฟฟ์ มาร์ติน เชลล์แบ็ก อิโมเจน ฮีป ไรอัน เท็ดเดอร์ และ อาลี พายามี [ 134 ] สวิฟต์ส่งเสริมอัลบัมผ่านโครงการรณรงค์ต่าง ๆ รวมถึงการเชิญชวนแฟนเพลงให้มาฟังเพลงในอัลบัมแบบลับ ๆ เรียกว่า “ 1989 ซีเคร็ตเซสชัน ” ด้วย [ 135 ] อัลบัมดูแตกต่างจากอัลบัมเพลงคันทรีชุดก่อนหน้า สวิฟต์ยกให้เป็น “ อัลบัมแรกที่ถูกบันทึกให้เป็นอัลบัมเพลงป็อปอย่างเป็นทางการ ” [ 136 ] อัลบัมวางจำหน่ายในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย [ 36 ] [ 137 ] อัลบัม 1989 ขายได้ 1.28 ล้านชุดในสหรัฐในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเปิดตัวสูงสุดในชาร์ต บิลบอร์ด 200 ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบัมที่ขายในสัปดาห์แรกเกินหนึ่งล้านชุดถึงสามอัลบัม ทำให้เธอได้รับการบันทึกใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ [ 138 ] [ 139 ] นับถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 อัลบัม 1989 ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก [ 140 ] ซิงเกิลนำของอัลบัม “ เชกอิตออฟ “ จำหน่ายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 141 ] ซิงเกิลอื่น ๆ ประกอบด้วยซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ “ แบลงก์สเปซ “ “ แบดบลัด “ ( ร้องรับเชิญโดย เคนดริก ลามาร์ ) และซิงเกิลที่ขึ้นสิบอันดับแรก ได้แก่ “ สไตล์ “ และ “ ไวล์ดิสต์ดรีมส์ “ และมีซิงเกิล “ เอาต์ออฟเดอะวุดส์ “ และ “ นิวโรแมนติกส์ “ [ 142 ] “ เชกอิตออฟ ” “ แบลงก์สเปซ ” และ “ แบดบลัด ” ติดอันดันหนึ่งในออสเตรเลียและแคนาดาด้วย [ 56 ] [ 81 ] หลังจากเพลง “ แบลงก์สเปซ ” ขึ้นอันดับหนึ่งในสหรัฐตามเพลง “ เชกอิตออฟ ” สวิฟต์กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีเพลงอันดันหนึ่งแทนที่เพลงของตนเองในประวัติศาสตร์ชาร์ตฮอต 100 [ 143 ] มิวสิกวิดีโอเพลง “ แบลงก์สเปซ ” เคยเป็นวิดีโอที่มียอดผู้ชมขึ้นถึงหนึ่งพันล้านครั้งเร็วที่สุดใน วีโว [ 144 ] “ แบลงก์สเปซ ” และวิดีโอเพลง “ แบดบลัด ” ได้รับรางวัลสี่รางวัลที่งาน เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2015 โดยเพลง “ แบดบลัด ” ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี และเพลงร่วมขับร้องยอดเยี่ยมด้วย [ 145 ] ในทัวร์ เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 2015 ทัวร์ยังคงทำรายได้ต่อไปได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ [ 146 ] สวิฟต์ได้เป็นผู้หญิงแห่งปีของนิตยสาร บิลบอร์ด ใน ค.ศ. 2014 กลายเป็นศิลปินคนแรกที่ได้ชื่อนี้ถึงสองครั้ง [ 147 ] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลดิก คลาร์ก อะวอร์ดสำหรับความดีเลิศที่งานประกาศรางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอดส์ [ 148 ] ที่งานประกาศรางวัลแกรมมี 2015 “ เชกอิตออฟ ” ได้เข้าชิงสามรางวัล รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงแห่งปี และเพลงแห่งปี ขณะที่ในงานประกาศรางวัล บริตอะวอดส์ 2015 สวิฟต์ได้รับรางวัลบริตอะวอดส์สาขาศิลปินเดี่ยวหญิงต่างชาติ [ 149 ] [ 150 ] สวิฟต์เป็นหนึ่งในแปดศิลปินที่ได้รับรางวัลครบรอบ 50 ปีของอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ใน ค.ศ. 2015 [ 151 ] ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์ได้รับรางวัลแกรมมีสามรางวัลจากอัลบัม 1989 ได้แก่ อัลบัมแห่งปี อัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยม และมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง “ แบดบลัด ” เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นศิลปินคนที่ห้าจากทั้งหมดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีถึงสองครั้ง [ 152 ] ก่อนออกอัลบัม 1989 สวิฟต์เน้นเกี่ยวกับความสำคัญของอัลบัมเพลงที่มีต่อศิลปินและแฟนเพลง [ 153 ] และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เธอลบเพลงทั้งอัลบัมออกจาก สปอทิฟาย โดยแย้งว่าบริการฟรีที่มีโฆษณาสนับสนุนของบริษัทสตรีมมิงบ่อนทำลายบริการระดับพรีเมียมที่ให้ค่าลิขสิทธิ์กับนักแต่งเพลงมากกว่า [ 154 ] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 สวิฟต์ตำหนิ แอปเปิลมิวสิก ผ่านจดหมาย เนื่องจากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่ศิลปินระหว่างบริการสตรีมมิงในช่วงทดลองฟรีสามเดือน และกล่าวว่าเธอจะถอดอัลบัม 1989 ออกจากรายการ [ 155 ] วันถัดมา แอปเปิล ประกาศว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ศิลปินในช่วงทดลองฟรี [ 156 ] สวิฟต์จึงยอมให้สตรีมอัลบัม 1989 ในบริการสตรีมอีกครั้ง [ 157 ] บริษัทที่ดูแลการจัดการสิทธิใน ทรัพย์สินทางปัญญา ของสวิฟต์ชื่อ ทีเอเอสไรส์แมเนจเมนต์ ฟ้อง เครื่องหมายการค้า 73 รายการที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้องเองและมีมต่าง ๆ จากอัลบัม 1989 [ 158 ] เธอกลับมาเพิ่มเพลงทั้งหมดมาใส่ในสปอทิฟาย อเมซอนมิวสิก และ กูเกิล เพลย์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 [ 159 ] ใน ค.ศ. 2015 สวิฟต์ร้องเพลง “ ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์ “ และ “ เชกอิตออฟ ” ร่วมกับ พอล แม็กคาร์ตนีย์ ในงานสังสรรค์ของรายการ แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์โฟร์ทีธ์แอนนิเวอร์แซรีสเปเชียล [ 160 ] และร่วมร้องเพลง “ บิกสตาร์ “ กับ เคนนี เชสนีย์ ในคืนเปิดคอนเสิร์ตของ บิกรีไวเวิลทัวร์ ที่แนชวิลล์ [ 161 ] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สวิฟต์เริ่มคบหากับดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวสก็อต แคลวิน แฮร์ริส [ 162 ] ก่อนเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 ทั้งคู่ได้รับการจัดให้เป็นคู่รักคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในรอบปีโดยนิตยสาร ฟอบส์ โดยมีรายได้รวมกันมากกว่า 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 163 ] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์กล่าวว่าแม่ของเธอตรวจพบ มะเร็ง และเชิญชวนให้ทุกคนเข้ารับการ ตรวจสุขภาพทั่วไป [ 164 ] ก่อนสวิฟต์กับแฮร์ริสประกาศจบความสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 [ 165 ] ทั้งคู่ร่วมแต่งเพลง “ ดิสอิสวอตยูเคมฟอร์ “ ( ร้องรับเชิญโดย รีแอนนา ) ซึ่งมีชื่อเธอระบุในนามแฝงว่า Nils Sjöberg [ 166 ] ในเดือนตุลาคม เธอแต่งเพลง “ เบตเทอร์แมน “ ให้วง ลิตเทิลบิกทาวน์ ให้แก่อัลบัมที่เจ็ด เดอะเบรกเกอร์ [ 167 ] สองเดือนต่อมา สวิฟต์และ เซย์น แมลิก ออกซิงเกิลร่วมกันชื่อ “ ไอโดนต์วอนนาลิฟฟอร์เอฟเวอร์ “ เป็น เพลงประกอบ ภาพยนตร์ ฟิฟตีเชดส์ดาร์กเกอร์ ( 2017 ) [ 168 ] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศสวีเดน และอันดับสองในสหรัฐ [ 169 ] [ 170 ] ในงานประกาศรางวัล เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2017 ทั้งคู่ได้รับรางวัลร่วมขับร้องเพลงยอดเยี่ยมจากมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าว [ 171 ] ต้น ค.ศ. 2017 สวิฟต์คบหากับนักแสดงชาวอังกฤษ โจ อัลวิน [ 172 ] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ฟ้องร้องและชนะคดีแพ่งต่อเดวิด มูเอลเลอร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุคลื่น ไคโกเอฟเอ็ม ใน ค.ศ. 2013 สวิฟต์เคยชี้แจงหัวหน้าของมูเอลเลอร์ว่าเขาเคยล่วงละเมิดเธอโดยการลูบคลำตัวเธอในงานงานหนึ่ง หลังจากเขาถูกไล่ออก มูเอลเลอร์กล่าวหาเธอว่าโกหกและฟ้องร้องเธอจากเหตุที่ทำให้เขาตกงาน หลังจากนั้นไม่นาน สวิฟต์ฟ้องร้องกลับคดีละเมิดทางเพศ ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาและยกผลประโยชน์ให้สวิฟต์ [ 173 ] ในเดือนเดียวกันนั้น สวิฟต์ล้างบัญชีสื่อสังคมของเธอทั้งหมด [ 174 ] และออกซิงเกิล “ ลุกวอตยูเมดมีดู “ เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่หก เรพิวเทชัน [ 175 ] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ [ 176 ] [ 177 ] มิวสิกวิดีโอในยูทูบมีผู้ชมมากกว่า 43.2 ล้านครั้งในวันแรก ทำลายสถิติมิวสิกวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง [ 178 ] ในเดือนตุลาคม สวิฟต์ออกซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม “ เรดีฟอร์อิต “ [ 179 ] เพลงขึ้นอันดับที่สามในออสเตรเลีย และอันดับที่สี่ในสหรัฐ [ 180 ] [ 177 ] อัลบั้ม เรพิวเทชัน ซิงเกิลประชาสัมพันธ์สองซิงเกิลได้แก่ “ กอร์เจิส “ และ “ คอลอิตวอตยูวอนต์ “ โดยเพลง “ กอร์เจิส ” เป็นซิงเกิลที่ห้าในเวลาต่อมา แต่จำหน่ายเป็นซิงเกิลในยุโรป [ 181 ] อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และขายได้ 1.216 ล้านหน่วยภายในสี่วันในสหรัฐ กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประเทศใน ค.ศ. 2017 และขายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลกในสัปดาห์แรก [ 182 ] ด้วยความสำเร็จนี้ ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบั้มขายได้มากกว่าหนึ่งล้านอัลบั้มในสัปดาห์แรกในสหรัฐถึงสี่อัลบั้ม [ 183 ] อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย [ 184 ] [ 185 ] หลังจากนั้น สวิฟต์แสดงเพลง “ เรดีฟอร์อิต ” และ “ คอลอิตวอตยูวอนต์ ” ในรายการ แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ [ 186 ] “ เอนด์เกม “ ร้องรับเชิญโดย เอ็ด ชีแรน และ ฟิวเชอร์ ตามมาเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นสูงสุดที่อันดับ 18 ในสหรัฐ [ 187 ] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้ม ได้แก่ “ นิวเยียส์เดย์ ” และ “ เดลิเคต “ เพลง “ นิวเยียส์เดย์ ” ถูกเปิดตามสถานีวิทยุเพลงคันทรี [ 188 ] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 มีการยืนยันว่าสวิฟต์จะร้องรับเชิญในเพลง “ เบบ ” ของ ชูการ์แลนด์ จากอัลบั้ม บิกเกอร์ [ a ] สวิฟต์ทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018 เพื่อส่งเสริมอัลบั้ม เรพิวเทชัน [ 190 ] ทัวร์ทำลายสถิติยอดผู้ชมและรายได้จากหลายสถานที่ในสหรัฐ ทำรายได้ได้ 266.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายบัตรได้มากกว่าสองล้านใบ สวิฟต์ทำลายสถิติของตนเองในฐานะผู้หญิงที่ทัวร์ในประเทศได้รายได้สูงที่สุด รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 345.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 191 ] เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่มีรายได้สูงที่สุดอันดับสองของปี [ 192 ] ในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 2018 สวิฟต์ได้รับรางวัลทัวร์แห่งปีจากทัวร์ล่าสุด ศิลปินแห่งปี ศิลปินป็อป/ร็อกหญิงชมเชย และอัลบั้มเพลงป็อป/ร็อกชมเชยจากอัลบั้ม เรพิวเทชัน จากจำนวนรางวัล 23 รางวัล สวิฟต์จึงเป็นผู้ชนะรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด สถิติเดิมคือ วิตนีย์ ฮิวสตัน [ 193 ] เรพิวเทชัน เป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ออกโดยสังกัด บิกแมชีนเรเคิดส์ เนื่องจากสัญญาอายุ 12 ปี หมดลง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอเซ็นสัญญากับค่าย ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุป ในสหรัฐ ผลงานลำดับถัดไปจะถูกส่งเสริมโดยประทับตราสังกัด รีพับลิกเรเคิดส์ สวิฟต์กล่าวว่าสัญญาของเธอจะรวมการเป็นเจ้าของ ต้นฉบับเสียง นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่มีการแบ่งผลประโยชน์ให้กับ สปอทิฟาย ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุปเห็นพ้องที่จะจ่ายรายได้ให้ศิลปินของตน และไม่รับรายได้นั้นคืนจากศิลปิน [ 194 ] ปลายเดือนพฤศจิกายน บิกแมชีนเรเคิดส์ออกรายการเพลงจากเทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ บนบริการสตรีม รายการเพลงบรรจุเพลงทุกเพลงที่แสดงบนเวทีบีในช่วงการทัวร์เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ [ 195 ] ในวันที่ 31 ธันวาคม ภาพยนตร์คอนเสิร์ตเรื่อง เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ออกฉายทาง เน็ตฟลิกซ์ [ 196 ] ภายใต้สังกัดรีพับลิกเรเคิดส์เป็นครั้งที่สอง “ มี ! “ เป็นซิงเกิลแรกจากสตูดิโออัลบัมที่เจ็ดชื่อ เลิฟเวอร์ ร้องรับเชิญโดย เบรนดอน ยูรี จากวง แพนิกแอตเดอะดิสโก เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2019 [ 197 ] [ 198 ] เธอร่วมแต่งเพลงกับ โจล ลิตเทิล และยูรี เพลงเปิดตัวในชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 ที่อันดับที่ 100 หลังออกมาได้สามวัน แต่กระโดดขึ้นอันดับที่สองในสัปดาห์ถัดมา กลายเป็นการกระโดดขึ้นอันดับในสัปดาห์เดียวที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาร์ต [ 199 ] มิวสิกวิดีโอเพลง “ มี ! ” ทำลาย วีโว โดยมีผู้ชมรวม 65.2 ล้านครั้งในวันแรก [ 200 ] แต่เพลงได้รับคำวิจารณ์แบบผสมกัน และสวิฟต์ลบเนื้อเพลงท่อนที่ “ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ” ท่อนหนึ่งออกจากอัลบัม [ 201 ] ในเดือนมิถุนายน เธอออกซิงเกิลที่สอง “ ยูนีดทูคาล์มดาวน์ “ [ 202 ] เพลงเปิดตัวที่อันดับสองบนชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 [ 203 ] เป็นเพลงเปิดตัวสูงสุดลำดับที่ 15 มากที่สุดในบรรดาศิลปินหญิง [ 204 ] ในเดือนกรกฎาคม เธอออกซิงเกิลโปรโมตอัลบัม “ ดิอาร์เชอร์ “ [ 205 ] เพลงชื่อเดียวกับอัลบัม ออกเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนสิงหาคม เป็นเพลงที่ติดสิบอันดับสูงสุดบนชาร์ตฮอต 100 เพลงที่สามจากอัลบัม [ 206 ]

Read more: David Prowse

เลิฟเวอร์ วางจำหน่ายในวันที่ 23 สิงหาคม ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก [ 207 ] และเปิดตัวอันดับหนึ่งบนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 867,000 หน่วย รวมถึงแผ่นอัลบัม 679,000 หน่วย ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มียอดขายหกอัลบัมแรกมากกว่า 500,000 หน่วยในสัปดาห์เดียว [ 208 ] [ 209 ] อัลบัมทำยอดขายแผ่นได้มากกว่าอัลบัมอื่น ๆ 199 อัลบัมรวมกันในสัปดาห์นั้น [ 210 ] เพลงทั้งหมด 18 เพลงในอัลบัมเข้าชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ทำสถิติศิลปินหญิงที่มีเพลงเข้าชาร์ตพร้อมกันมากที่สุดในหนึ่งสัปดาห์ [ 211 ] ในงานประกาศรางวัล เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2019 มิวสิกวิดีโอเพลง “ มี ! ” และ “ ยูนีดทูคาล์มดาวน์ ” ได้เข้าชิงสิบรางวัลสิบสองรางวัล “ มี ! ” ได้รางวัลเอฟเฟกต์ภาพยอดเยี่ยม และ “ ยูนีดทูคาล์มดาวน์ ” ได้รางวัลวิดีโอแห่งปี ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สองและเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่วิดีโอที่ตนร่วมกำกับได้รางวัลดังกล่าว [ 212 ] และได้รางวัลวิดีโอฟอร์กูด สวิฟต์แสดงในการเปิดงานประกาศรางวัลดังกล่าว [ 213 ] อัลบัม เลิฟเวอร์ ได้เข้าชิงสามรางวัลในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 62 รวมถึง อัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยม และเพลงแห่งปี สำหรับเพลง “ เลิฟเวอร์ ” [ 214 ] ในเดือนมิถุนายน สกูตเตอร์ บราวน์ ผู้จัดการดนตรีซื้อค่ายเพลงเดิมของสวิฟต์ รวมถึงต้นฉบับของอัลบัมเพลงของเธอหกอัลบัมแรก [ 215 ] สวิฟต์แสดงความไม่พอใจผ่านโพสต์บน ทัมเบลอร์ กล่าวว่าเธอเคยพยายามซื้อต้นฉบับมาหลายปี และพูดถึงบราวน์ว่าเป็น “ ผู้รังแกจอมบงการไม่หยุดหย่อน ” ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ประกาศแผนการอัดเพลงจากอัลบัมที่ถูกซื้อซ้ำทั้งหมดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 [ 216 ] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 สวิฟต์กล่าวว่าบราวน์และ สก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้ก่อตั้งสังกัดบิกแมชีนห้ามมิให้เธอแสดงเพลงเก่าในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2019 ซึ่งเธอได้รางวัลศิลปินแห่งทศวรรษจากงานนั้น รวมถึงห้ามนำงานเพลงเก่ามาใช่กับสารคดีเรื่อง มิสอเมริกานา ทาง เน็ตฟลิกซ์ [ 217 ] บิกแมชีนปฏิเสธการกล่าวหา และกล่าวหาสวิฟต์ว่าเธอติดหนี้ “ มูลค่าหลักล้านดอลลาร์และสินทรัพย์มากมาย ” [ 218 ] [ 219 ] สวิฟต์โต้ตอบโดยตัวแทนของเธอออกจดหมายตอบกลับแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารบิกแมชีนปฏิเสธที่จะให้สิทธิ์ในการทำสารคดี และกล่าวว่าบิกแมชีนเป็นหนี้เธอค่าลิขสิทธิ์มูลค่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 220 ] วันที่ 18 พฤศจิกายน บิกแมชีนออกประกาศว่า “ สังกัดได้อนุญาตให้สตรีมการแสดงของศิลปินในสังกัด และออกอากาศซ้ำบนแพลตฟอร์มที่เห็นพ้องกัน ” ในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อของสวิฟต์ [ 221 ] ในเดือนพฤศจิกายน สวิฟต์และ แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ แต่งเพลง “ บิวตีฟูลโกสต์ “ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง แคตส์ ( 2019 ) [ 222 ] ได้เข้าชิงเพลงประกอบยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 77 [ 223 ] ในเดือนธันวาคม เธอแต่ง อัดเสียง และออก “ คริสต์มาสทรีฟาร์ม “ เป็นซิงเกิลเทศกาลคริสต์มาส [ 224 ] และรับบทเป็น บอมบาลูรินา ในภาพยนตร์เพลงดัดแปลงเรื่อง แคตส์ ของลอยด์ เว็บเบอร์ [ 225 ] นักวิจารณ์ให้คำวิจารณ์ภาพยนตร์ในด้านลบ และกล่าวถึงบทบาทเล็ก ๆ ของสวิฟต์ เดวิด รูนีย์ จาก เดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ กล่าวว่า สวิฟต์ “ เปล่งประกายในบทบาทความยาวหนึ่งเพลง โปรยตัวลงมาจากหน้าต่างที่แตก บนเวทีรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว โปรยดอกแคตนิป ” [ 226 ] ในวันที่ 23 มกราคม มิสอเมริกานา ฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ฟิล์มเฟสติวัล 2020 และออกฉายในเน็ตฟลิกต์ในวันที่ 31 มกราคม ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวก [ 227 ] [ 228 ] สารคดีมีเพลง “ โอนลีเดอะยัง “ ที่สวิฟต์แต่งไว้หลังช่วง เลือกตั้งใน ค.ศ. 2018 [ 229 ] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 สวิฟต์เซ็นสัญญากับ ยูนิเวอร์แซลมิวสิกพับบลิชชิงกรุป หลังจากสัญญาอายุ 16 ปีกับ โซนี/เอทีวี หมดลง [ 230 ] ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เธอออกเพลง “ เดอะแมน “ แบบแสดงสด และมิวสิกวิดีโอ [ 231 ] [ 232 ] คอนเสิร์ตทัวร์ เลิฟเวอร์เฟสต์ ถูกเลื่อนออกไปใน ค.ศ. 2021 เนื่องจาก โรคระบาดโควิด-19 [ 233 ] ฟุตเทจจากคอนเสิร์ต ซิตีออฟเลิฟเวอร์ ที่แสดงในปารีส ค.ศ. 2019 ออกอากาศทางช่อง เอบีซี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 และมีให้ชมทาง ฮูลู และ ดิสนีย์+ ในวันถัดมา สวิฟต์ยังออกอัลบัม เลิฟเวอร์ ฉบับร้องสดที่เธอเคยแสดงที่ปารีสหลังออกอากาศทางโทรทัศน์ด้วย [ 234 ] เธอปรากฏในรายการสด เดียร์คลาสออฟ 2020 ทาง ยูทูบ ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2020 [ 235 ] และอีเวนต์สโตนวอลล์เดย์ของ ไพรด์ไลฟ์ ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2020 [ 236 ] ในวันที่ 24 กรกฎาคม สวิฟต์ออกสตูดิโออัลบัมที่แปดในชื่อ โฟล์กลอร์ โดยที่ประกาศล่วงหน้าไม่ถึง 24 ชั่วโมง [ 237 ] เพลงในอัลบัมเขียนและบันทึกเสียงโดยสวิฟต์ขณะกักตัวช่วงโควิด-19 อัลบัมมีการร่วมงานกับ บอนอีแวร์ แอรอน เดสเนอร์ และแอนโทนอฟฟ์ [ 238 ] “ คาร์ดิแกน “ ออกเป็นซิงเกิลนำ มิวสิกวิดีโอก็ออกมาพร้อมกับอัลบัม [ 239 ] โฟล์กลอร์ ได้รับคำชมอย่างแพร่หลายจากนักวิจารณ์ ซึ่งชื่นชมการเปลี่ยนไปสู่แนวดนตรีอินดีโฟล์ก การเล่าเรื่อง และเนื้อเพลง [ 240 ] อัลบัมขายได้สองล้านหน่วยทั่วโลกในสัปดาห์แรก ในจำนวนนั้น 1.3 ล้านหน่วย ขายได้ในวันแรกวันเดียว [ 241 ] [ 242 ] สวิฟต์ยังทำลายสถิติศิลปินหญิงที่มีจำนวนการสตรีมในวันแรกมากที่สุดในสปอติฟาย ด้วยการสตรีมมากกว่า 80.6 ล้านครั้ง [ 243 ] เดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 สวิฟต์ประกาศว่าอัลบัมที่เก้าของเธอ เอฟเวอร์มอร์ จะออกจำหน่ายในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2020 โดยสวิฟต์กล่าวว่าอัลบัมนี้เป็น “ อัลบัมน้องสาว ” ของ โฟล์กลอร์ ในอัลบัม เอฟเวอร์มอร์ นี้ เธอได้ร่วมงานกับศิลปินที่เคยร่วมงานในอัลบัม โฟล์กลอร์ เช่น บอนอีแวร์, แอรอน เดสเนอร์, แจ็ก แอนโทนอฟฟ์ และ ไฮม์ [ 244 ] ความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีเรื่องหนึ่งที่สวิฟต์จำได้คือขณะฟังยาย มาร์จอรี ฟินเลย์ ร้องเพลงที่โบสถ์ [ 2 ] เมื่อตอนเป็นเด็ก สวิฟต์ชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ของดิสนีย์ “ พ่อแม่ของฉันสังเกตว่า เมื่อใดที่ฉันหมดคำพูด ฉันจะคิดคำพูดของตัวเองขึ้นมา ” [ 245 ] สวิฟต์เคยกล่าวว่าแม่ของเธอทำให้เธอมีความมั่นใจ แม่ช่วยเธอเตรียมตัวนำเสนอหน้าชั้นเมื่อเธอเป็นเด็ก [ 246 ] เธอยังกล่าวว่าแม่ทำให้เธอ “ หลงใหลในการเขียนและเล่าเรื่อง ” [ 247 ] สวิฟต์ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับดนตรีคันทรี [ 248 ] และได้รู้จักแนวเพลงนี้จาก “ ศิลปินคันทรีหญิงยุค 90 ” เช่น ชะไนยา ทเวน เฟธ ฮิลล์ และ ดิกซีชิกส์ [ 249 ] [ 250 ] ทเวนเป็นทั้งนักแต่งเพลงและนักร้อง และเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุดของสวิฟต์ [ 251 ] ฮิลล์เป็นบุคคลตัวอย่างของสวิฟต์ในวัยเด็ก “ ทุกอย่างที่เธอพูด ทำ ชุดที่เธอใส่ ฉันพยายามเลียนแบบทั้งหมด ” [ 252 ] เธอชื่นชมทัศนคติที่ชอบท้าทายของดิกซีชิกส์ และการที่วงเล่นเครื่องดนตรีของตนเอง [ 253 ] เพลง “ คาวบอยเทกมีอะเวย์ “ เป็นเพลงแรกที่สวิฟต์ใช้หัดเล่นกีตาร์ [ 254 ] สวิฟต์ยังตามฟังเพลงของนักร้องคันทรีเก่า ๆ เช่น แพตซี ไคลน์ ลอเร็ตตา ลินน์ [ 13 ] ดอลลี พาร์ตัน และ แทมมี ไวเน็ตต์ [ 13 ] [ 255 ] เธอเชื่อว่าพาร์ตันเป็น “ ตัวอย่างที่น่าเหลือเชื่อให้แก่นักแต่งเพลงหญิงทุกคน ” [ 256 ] เธอยกย่องศิลปินออลเทอร์นาทิฟคันทรี เช่น ไรอัน แอดัมส์ [ 257 ] แพตตี กริฟฟิน [ 258 ] และ ลอรี แม็กเคนนา [ 4 ] สวิฟต์ยกให้ พอล แม็กคาร์ตนีย์ เดอะโรลลิงสโตนส์ [ 127 ] บรูซ สปริงส์ทีน เอมมีลู แฮร์ริส คริส คริสตอฟเฟอร์สัน และคาร์ลี ไซมอน เป็นบุคคลตัวอย่างในอาชีพของเธอ “ พวกเขาได้ลองเสี่ยงหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นศิลปินคนเดิมตลอดอาชีพของเขา ” [ 4 ] [ 259 ] แม็กคาร์ตนีย์ ทั้งในนาม เดอะบีเทิลส์ และศิลปินเดี่ยว ทำให้สวิฟต์รู้สึก “ ราวกับว่าฉันได้เข้าไปอยู่ในหัวใจและจิตใจของเขา … นักดนตรีคนไหน ๆ ก็ฝันถึงสิ่งสืบทอดเหล่านั้นได้ ” [ 260 ] เธอชื่นชมสปริงสทีนเพราะเขา “ ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งทางดนตรีแม้เวลาจะผ่านมานาน ” [ 261 ] เธอต้องการเป็นอย่างแฮร์ริสเมื่อเธอแก่ตัวลง “ มันไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียง แต่มันเกี่ยวกับดนตรี ” [ 262 ] สวิฟต์กล่าวว่า “ [ คริสตอฟเฟอร์สัน ] โดดเด่นในเรื่องการแต่งเพลง เขาเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่คุณบอกได้ว่ามันไม่ได้ทำลายเขาเลย ” [ 263 ] เธอชื่นชม “ การแต่งเพลงและความซื่อสัตย์ ” ของไซมอน “ เธอเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งด้วย ” [ 264 ] สวิฟต์ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินแนวอื่น ๆ อีกมากมาย ช่วงก่อนวัยรุ่น เธอฟังศิลปินแนวบับเบิลกัมป็อป เช่น แฮนสัน และ บริตนีย์ สเปียส์ สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอได้ “ อุทิศตนอย่างแนวแน่ ” ให้สเปียส์ [ 265 ] [ 266 ] ในช่วงไฮสกูล สวิฟต์ฟังวงดนตรีร็อกหลายวง เช่น แดชบอร์ดคอนเฟชชันเนิล [ 267 ] ฟอลเอาต์บอย [ 268 ] และ จิมมีอีตเวิลด์ [ 269 ] เธอยังแสดงความชื่นชมนักร้องและนักแต่งเพลงร่วมสมัย เช่น มิเชลล์ แบรนช์ [ 269 ] อลานิส มอริสเซตต์ [ 270 ] แอชลี ซิมป์สัน [ 271 ] เฟเฟ ดอบสัน [ 269 ] และ จัสติน ทิมเบอร์เลก [ 272 ] สวิฟต์กล่าวว่าเธอ “ หลงใหล ” ศิลปินยุค 1960 เช่น เดอะชิเรลส์ ดอริส ทรอย และ เดอะบีชบอยส์ ด้วย [ 273 ] [ 274 ] อัลบัมที่ห้าของสวิฟต์ 1989 ซึ่งเป็นแนวป็อป ได้รับอิทธิพลจากศิลปินเพลงป็อปยุค 1980 เช่น แอนนี เลนนิกซ์ ฟิล คอลลินส์ และ “ มาดอนน่า ยุคที่มีเพลง ไลก์อะเพรเยอร์ “ [ 275 ] แนวเพลงของสวิฟต์เป็นแนว ป็อป ป็อปร็อก และ คันทรี [ 276 ] เธอตั้งตัวเองเป็นศิลปินคันทรีจนกระทั่งออกอัลบัม 1989 ใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเธอบรรยายว่าเป็น “ อัลบัมที่มีเพลงป็อปอยู่ติดกัน ” [ 277 ] นิตยสาร โรลลิงสโตน ประเมินว่า “ เพลงของ [ สวิฟต์ ] อาจได้เปิดเพลงในสถานีวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นร็อกสตาร์แท้ ๆ หนึ่งในไม่กี่คนที่เรามีในทุกวันนี้ ” [ 278 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ กล่าวว่า “ ในเพลงของสวิฟต์ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความคันทรีมากนัก มีเพียงเสียงแบนโจ ใส่รองเท้าบูทคาวบอยคู่หนึ่งบนเวที และกีตาร์ที่ทำให้ตาลายตัวหนึ่ง แต่มีบางอย่างในการสื่ออารมณ์ที่มีเสน่ห์และบอบบางในตัวสวิฟต์ที่เป็นเอกลักษณ์กับแนชวิลล์ ” [ 279 ] เดอะการ์เดียน เคยกล่าวว่า สวิฟต์ “ ทำเมโลดีออกมาเร็วด้วยประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเพลงป็อปสแกนดิเนเวียนอย่างไร้ความสงสาร ” [ 280 ] เสียงร้องของสวิฟต์นั้น โซฟี ชิลลาชี จาก เดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ บรรยายว่า “ หวาน แต่นุ่มนวล ” [ 281 ] ในระหว่างการอัดเสียงในสตูดิโอ หนังสือพิมพ์ ลอสแอนเจลิสไทมส์ นิยามเสียงร้องของสวิฟต์ว่า “ เส้นร้องที่ไหลลงเหมือนกับเสียงถอนหายใจด้วยความพอใจ หรือไหลขึ้นเหมือนตอนเลิกคิ้ว ทำให้ความเป็นวัยสาวที่น่ารักของเธอชวนให้คุ้นเคยได้ง่าย ” [ 282 ] ในบทวิจารณ์อัลบัม สปีกนาว นิตยสาร โรลลิงสโตน กล่าวว่า “ เสียงของสวิฟต์ไม่กระทบอะไรมากพอถึงระดับที่จะปิดบังความมืออาชีพที่เธอเป็นในฐานะนักร้อง เธอลดเสียงลงขณะร้องท่อนที่ทุกคนร้องได้ในแบบคลาสสิกที่เด็กสาวขี้อายคนหนึ่งพยายามจะพูดให้กลัว ” [ 283 ] ในบทวิจารณ์อัลบัม สปีกนาว อีกบท หนังสือพิมพ์ เดอะวิลเลจวอยซ์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้ การใช้ถ้อยคำของเธอ “ เคยฟังดูจืดและดูสับสน แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว เธอยังฟังดูตึงและบาง และเสียงมักจะหลงไปอยู่ระดับเสียงที่ทำให้คนบางคนเป็นบ้าได้ แต่เธอเรียนรู้แล้วว่าจะสื่อสารความหมายของคำแต่ละคำได้อย่างไร ” [ 284 ] เสียงร้องสดของเธอเคยถูกลดระดับลงเป็น “ พอใช้ได้ ” แต่ไม่เคยเท่าเพื่อน ๆ ของเธอ [ 281 ] ใน ค.ศ. 2009 เคน ทักเกอร์ จาก เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี พูดถึงเสียงร้องของสวิฟต์ว่ายังมีเสียง “ ราบเรียบ บาง และบางครั้งไม่มั่นคงพอ ๆ กับคนไม่มีประสบการณ์ ” [ 285 ] [ 286 ] แต่อย่างไรก็ตาม สวิฟต์ได้รับคำชมที่เธอไม่ได้ใช้ ออโตทูน ปรับระดับเสียงตนเอง [ 287 ] ในบทสัมภาษณ์กับ เดอะนิวยอร์กเกอร์ สวิฟต์ตั้งตนเองเป็นนักแต่งเพลงคนหนึ่ง “ ฉันแต่งเพลง และเสียงของฉันเป็นแค่ทางเชื่อมเนื้อเพลงเหล่านั้น ” [ 4 ] [ 288 ] นักเขียนคนหนึ่งจาก เดอะเทนเนสเซียน ยอมรับใน ค.ศ. 2010 ว่าสวิฟต์ “ ไม่ใช่นักร้องทางเทคนิคที่ดีที่สุด ” แต่พูดถึงเธอว่าเป็น “ นักสื่อสารที่ดีที่สุดที่เรามี ” [ 289 ] เสียงร้องของสวิฟต์เป็นอะไรที่สัมพันธ์กับเธอ และเธอได้ “ พยายามอย่างหนัก ” เพื่อปรับปรุง [ 290 ] มีรายงานใน ค.ศ. 2010 ว่าเธอยังคงเข้าเรียนร้องเพลง [ 291 ] เธอเคยกล่าวว่าเธอจะรู้สึกกังวลเวลาแสดง “ ก็ต่อเมื่อฉันไม่มั่นใจว่าผู้ฟังคิดอย่างไรกับฉัน เหมือนตอนงานประกาศรางวัล ” [ 292 ] สวิฟต์ใช้ประสบการณ์ตรงเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง [ 293 ] ในเพลงของเธอ สวิฟต์มักพูดถึง “ คนนิรนามที่เธอแอบชอบในช่วงเรียนไฮสกูล ” และคนดัง [ 294 ] สวิฟต์มักวิพากษ์วิจารณ์คนรักเก่าอยู่บ่อย ๆ [ 295 ] ซึ่งเป็นมุมมองการแต่งเพลงที่ เดอะวิลเลจวอยซ์ สบประมาทไว้ “ การได้ฟังว่าสิ่งที่เพลงสื่อนั้นเหมือนกับมีศาสตราจารย์ที่วางมาด และมันเป็นภัยต่อการประเมินพรสวรรค์ของสวิฟต์ ซึ่งดูไม่เป็นการสารภาพ แต่ดูเหมือนละคร ” [ 296 ] แต่นิตยสาร นิวยอร์ก เชื่อว่า การที่สื่อพินิจพิเคราะห์การตัดสินใจของเธอที่จะ “ ขุดชีวิตส่วนตัวมาใส่ในเพลงนั้น [ … ] เป็นการแบ่งแยกเพศ เนื่องจากไม่ได้มีการขอเพื่อนผู้ชายเลย ” [ 297 ] ตัวสวิฟต์เองเคยกล่าวว่า ไม่ใช่ทุกเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง และบางครั้งเกิดจากการสังเกตการณ์ [ 298 ] นอกจากคำบอกใบ้ของเธอในเพลง สวิฟต์พยายามไม่พูดถึงประเด็นของเพลงแบบเจาะจง “ เพราะคนเหล่านี้คือคนจริง ๆ คุณพยายามหยั่งรู้ถึงพื้นเพที่คุณมาเป็นนักแต่งเพลง โดยไม่ต้องเสียเพื่อนจากความเห็นแก่ตัว ” [ 299 ] หนังสือพิมพิมพ์ เดอะการ์เดียน ยกย่องสวิฟต์เกี่ยวกับการเขียน “ ระลึกความหลังโทนซีเปียด้วยความโหยหา ” ในช่วงวัยรุ่น ตลอดสองอัลบัมแรก [ 280 ] นิตยสาร นิวยอร์ก กล่าวว่านักร้องนักแต่งเพลงหลายคนทำเพลงดี ๆ ไว้เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น แต่ “ ไม่มีใครทำเพลงดี ๆ ที่เกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นได้ชัดเจน ” นิตยสารเปรียบเธอกับ ไบรอัน วิลสัน [ 301 ] สำหรับภาพนิยายปรัมปราบนปกอัลบัม เฟียร์เลส เธอได้ศึกษาความไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง “ นิทานปรัมปราและความเป็นจริงของความรัก ” [ 302 ] อัลบัมถัดจากนั้นพูดถึงความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น [ 259 ] นอกจากความโรแมนติกและความรักแล้ว เพลงหลายเพลงของสวิฟต์ยังพูดถึงความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก มิตรภาพ [ 303 ] [ 304 ] ความห่างเหิน ชื่อเสียง และความทะเยอทะยานในการทำงาน [ 247 ] สวิฟต์มักใส่ “ วลีที่คิดขึ้นฉับพลันเพื่อแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และจริงจังที่ไม่เข้ากับเพลง สิ่งที่เพิ่มหรือล้มล้างเรื่องเล่าในเพลง ” [ 305 ] โรลลิงสโตน ยกให้เธอเป็น “ นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดในการแต่งเพลงตามโครงสร้าง เวิร์ส-คอรัส-บริดจ์ ” [ 306 ] จากข้อมูลของ เดอะวิลเลจวอยซ์ สวิฟต์ใช้แต่งให้เนื้อเพลงพลิกแพลงในท่อนเวิร์สที่สามอยู่บ่อย ๆ [ 305 ] ในเรื่องของกระบวนการจินตภาพ สิ่งที่เห็นได้ชัดในการแต่งเพลงของสวิฟต์คือการกล่าวซ้ำ ในคำกล่าวของ เดอะการ์เดียน กล่าวว่า “ เธอใช้เวลาจูบกันท่ามกลางสายฝนมากจนดูเหมือนปาฏิหาริย์ที่เท้าของเธอไม่เคยเปื่อยเลย ” [ 280 ] นิตยสาร สแลนต์แม็กกาซีน เสริมว่า “ สวิฟต์ศึกษาแนวเรื่องใหม่ตลอดการทำอัลบัม [ ที่สี่ของเธอ ] ” [ 307 ] ขณะที่บทวิจารณ์งานเพลงของสวิฟต์เป็น “ ด้านบวกแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ” เดอะนิวยอร์กเกอร์ กล่าวว่าเธอถ่ายทอด “ ในฐานะนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญได้มากกว่าในฐานะนักคิดแบบ ดีแลน “ [ 4 ] ชีวิตส่วนตัวของสวิฟต์เป็นประเด็นที่สื่อให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง [ 308 ] ใน ค.ศ. 2013 แอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ทำการตลาดโดยใช้คำโปรยเสื้อยืดโดยมีคำว่า “ โสเภณีน่าอาย ” ( slut-shaming ) ตั้งใจสื่อถึงเธอโดยตรง [ 309 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ ยืนยันว่า “ ประวัติการคบผู้ชายของสวิฟต์เริ่มทำให้เกิดจุดเริ่มต้นของการตอกกลับ ” และตั้งคำถามว่าสวิฟต์กำลังตกอยู่ท่ามกลาง “ วิกฤตในชีวิตช่วง 25 ปีแรกของเธอหรือไม่ ” [ 310 ] สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอไม่อยากเล่าถึงชีวิตส่วนตัวออกสื่อสาธารณะ [ 308 ] เนื่องจากเธอเชื่อว่า การพูดถึงมันอาจเป็น “ จุดอ่อนในการทำงาน ” ได้ [ 311 ] โรลลิงสโตน กล่าวถึงมารยาทที่เหมาะสมของสวิฟต์ว่า “ ถ้านี่เป็นการเล่นหน้าเล่นตาของสวิฟต์ มันจะต้องเป็นดั่งรอยสัก เพราะมันจะไม่หลุดหายไป ” [ 312 ] นิตยสารดังกล่าวยังสนใจ “ การต้อนรับอย่างอบอุ่น ” ของสวิฟต์ด้วย [ 33 ] นิตยสาร เดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ ให้เธอเป็น “ บุคคลยอดเยี่ยมนับตั้งแต่ บิล คลินตัน “ [ 313 ] ในขณะมอบรางวัลด้านมนุษยธรรมให้สวิฟต์ใน ค.ศ. 2012 มิเชล โอบามา กล่าวยกย่องเธอว่าเป็นคนที่ “ ทะยานขึ้นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรีแต่เท้ายังติดดิน คนที่ทำลายมาตรฐานที่คาดไว้ของสิ่งที่คนอายุ 22 ปีจะทำสำเร็จได้ ” [ 314 ] สวิฟต์ยกให้โอบามาเป็นบุคคลตัวอย่างคนหนึ่ง [ 315 ] สวิฟต์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในสื่อสังคม และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์เป็นมิตรกับแฟนเพลง [ 316 ] [ 317 ] เธอเคยส่งของขวัญวันหยุดให้แฟนเพลงผ่านทางจดหมาย และส่งให้ด้วยตนเอง เรียกของชิ้นนั้นว่า “ สวิฟต์มาส ” ( Swiftmas ) [ 318 ] เธอมองว่าเป็น “ ความรับผิดชอบ ” ที่ต้องตระหนักว่าเธอมีอิทธิพลต่อแฟนเพลงหนุ่มสาว [ 319 ] และเคยกล่าวว่าแฟนเพลงของเธอเป็น “ ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและดีที่สุดที่เธอเคยมี ” [ 320 ] สื่อมักเรียกสวิฟต์บ่อย ๆ ว่า “ หวานใจของอเมริกา ” [ 321 ] แต่สวิฟต์ยืนยันว่า “ ฉันไม่ได้อยู่กับกฎแปลก ๆ แข็งกระด้างที่ล้อมกรอบฉัน ฉันแค่ชอบแบบที่ฉันรู้สึกและทำให้ฉันรู้สึกเป็นอิสระ ” เธอปฏิเสธที่จะถ่ายแบบยั่วยวนทางเพศ [ 322 ] แต่ บลูมเบิร์ก แอล.พี. มองสวิฟต์เป็น สัญลักษณ์ทางเพศ คนหนึ่ง [ 323 ] ใน ค.ศ. 2011 เธอได้ชื่อว่าสัญรูปแห่งวิถีชีวิตอเมริกัน แต่งตั้งโดยนิตยสาร โว้ก [ 324 ] ใน ค.ศ. 2014 เธออยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อผู้แต่งตัวดูดีที่สุดประจำปีโดยนิตยสาร พีเพิล [ 325 ] ใน ค.ศ. 2015 ที่งาน แอลสไตล์อะวอดส์ เธอได้ชื่อว่า ผู้หญิงแห่งปี [ 326 ] และติดอันดับหนึ่งในรายชื่อคนฮอต 100 คนของนิตยสาร แม็กซิม [ 327 ] สวิฟต์ยังมีชื่อติดอยู่ในหลายรายชื่อ เธอเป็นหนึ่งใน 100 ผู้มีอิทธิพลที่สุด ประจำปี ใน ค.ศ. 2010 และ 2015 จัดโดยนิตยสาร ไทม์ ด้วย [ 328 ] ตั้งแต่ ค.ศ. 2011–2015 เธอเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของผู้หญิงที่มีรายได้สูงสุดในวงการดนตรีจัดโดยนิตยสาร ฟอบส์ โดยเธอมีรายได้ 45 ล้าน, 57 ล้าน, 55 ล้าน, 64 ล้าน และ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ [ 329 ] ใน ค.ศ. 2015 เธอเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่อยู่ใน รายชื่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุด ของฟอบส์ 100 คน อยู่ในอันดับที่ 64 [ 330 ] ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์เป็น คนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุด 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เธอยังอยู่ในสิบอันดับแรกใน ค.ศ. 2011, 2013 และ 2015 [ 331 ] เธอเป็นหนึ่งในรายชื่อ บุคคลแห่งปีของนิตยสาร ไทม์ ค.ศ. 2014 [ 332 ] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 รายได้สุทธิของสวิฟต์ประมาณอยู่ที่ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 333 ] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018 ฟอบส์ปรับปรุงรายได้สุทธิโดยประมาณของสวิฟต์อยู่ที่ 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [ 334 ] กิจกรรมการกุศลของสวิฟต์เป็นที่จดจำจากรางวัล ดูซัมทิงอะวอดส์ และบริการสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติที่เทนเนสซี [ 335 ] [ 336 ] เธอยังได้รับรางวัลเดอะบิกเฮลป์อะวอร์ด จากที่เธอ “ อุทิศตนช่วยเหลือคนอื่น ๆ ” และ “ บันดาลใจให้คนอื่นลงมือทำ ” [ 337 ] และรางวัลริปเพิลออฟโฮป เนื่องจากเธอ “ อุทิศตนช่วยเหลือตั้งแต่อายุยังน้อย เทย์เลอร์เป็นผู้หญิงประเภทที่เราอยากให้ลูกสาวของเราเป็น ” [ 338 ] ใน ค.ศ. 2008 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่หน่วยงานกาชาดเพื่อช่วยเหลือเหยื่อ ผู้ประสบอุทกภัยในรัฐไอโอวา ค.ศ. 2008 [ 339 ] สวิฟต์แสดงในคอนเสิร์ตการกุศล เช่น ซาวด์รีลีฟ ที่ซิดนีย์ [ 340 ] เธอยังอัดเพลงใส่อัลบั้ม โฮปฟอร์เฮตินาว ด้วย [ 341 ] จากเหตุ อุทกภัยในรัฐเทนเนสซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์บริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์ระหว่างเทเลธอนจัดโดยช่อง WSMV [ 342 ] ใน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ซ้อมคอนเสิร์ตสปีกนาวทัวร์รอบสุดท้ายในอเมริกาเหนือเพื่อหารายได้ให้เหยื่อ ทอร์นาโดครั้งล่าสุด ในสหรัฐ รวบรวมรายได้ได้มากกว่า 750,000 ดอลลาร์ [ 343 ] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์ส่งเสริมเทเลธอนชื่อรีสโตร์เดอะชอร์ขององค์กร อาร์คิเท็กเชอร์ฟอร์ฮิวแมนิตี หลังเกิด พายุหมุนเขตร้อนแซนดี [ 344 ] ใน ค.ศ. 2016 เธอบริจาคเงินให้ โครงการบรรเทาทุกข์อุทกภัยที่ลุยส์เซียนา และกองทุนอัคคีภัย ดอลลี พาร์ตัน [ 345 ] [ 346 ] สวิฟต์เป็นผู้สนับสนุนศิลปะและได้บริจาคเงิน 75,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียน แนชวิลส์เฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล เพื่อช่วยปรับปรุงระบบแสงและเสียงในหอประชุมของโรงเรียน [ 347 ] ใน ค.ศ. 2012 เธอมอบเงิน 4 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างศูนย์การเรียนแห่งใหม่ที่ หอเกียรติยศและพิพิธภัณฑ์ดนตรีคันทรี ที่แนชวิลล์ [ 348 ] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทเช่าตำราเรียนชื่อ เชกก์ บริจาคเงิน 60,000 ดอลลาร์ให้แก่สาขาวิชาดนตรีในวิทยาลัยหกแห่ง [ 349 ] สวิฟต์ส่งเสริมการรู้หนังสือของเด็ก ๆ ด้วย ใน ค.ศ. 2009 เธอบริจาคเงิน 250,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ [ 350 ] ความพยายามในการส่งเสริมการรู้หนังสืออย่างอื่น ได้แก่ ห้องสมุดสาธารณะเรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย 6,000 เล่ม [ 351 ] ห้องสมุดสาธารณะแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี 14,000 เล่ม [ 352 ] หนังสือเรียน 2,000 เล่มมอบให้ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลเรดิง [ 353 ] และโรงเรียนหลายแห่งในนครนิวยอร์ก 25,000 เล่มเมื่อปี ค.ศ. 2015 [ 354 ] ใน ค.ศ. 2007 เธอออกโครงการรณรงค์ปกป้องเด็กจากผู้ร้ายออนไลน์ หุ้นส่วนกับสมาคมอธิบดีกรมตำรวจเทนเนสซี [ 355 ] ใน ค.ศ. 2009 สวิฟต์บันทึกเสียงโฆษณาประชาสัมพันธ์บริการสาธารณะให้ผู้ฟังตระหนักถึงความสำคัญของการฟัง “ อย่างมีความรับผิดชอบ ” เพื่อป้องกัน หูหนวก [ 356 ] เธอเคยบริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลมากมาย ได้แก่ มูลนิธิโรคเอดส์เอลตันจอห์น ยูนิเซฟแทปโปรเจกต์ มิวสิแคส์ และ ฟีดิงอเมริกา [ 357 ] ใน ค.ศ. 2011 ในฐานะผู้ให้ความบันเทิงแห่งปีของโรงเรียนดนตรีคันทรี สวิฟต์บริจาคเงิน 25,000 ดอลลาร์ให้แก่ โรงพยาบาลวิจัยเด็กเซนต์จูด รัฐเทนเนสซี [ 358 ] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์ร่วมในเทเลธอน สแตนด์อัปทูแคนเซอร์ ร้องเพลง “ โรแนน “ ซึ่งเธอแต่งให้แก่เด็กชายอายุสี่ขวบคนหนึ่งที่เสียชีวิตจาก นิวโรบลาสโตมา เพลงมีให้ดาวน์โหลด รายได้จากการดาวน์โหลดบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง [ 359 ] ใน ค.ศ. 2014 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่ มูลนิธิ V เพื่อศูนย์วิจัยมะเร็ง [ 360 ] และ 50,000 ดอลลาร์ให้ โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย [ 361 ] สวิฟต์เคยแวะเยี่ยมผู้ป่วยและคอยช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นการส่วนตัว [ 362 ] สวิฟต์เชิญชวนให้คนวัยหนุ่มสาวอาสาในชุมชนท้องถิ่นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวันบริการเยาวชนโลก [ 363 ] ในปี ค.ศ. 2018 เธอกับผู้หญิงอีก 300 คนในฮอลลิวูดก่อตั้งขบวนการไทมส์อัปเพื่อปกป้องผู้หญิงจากการกดขี่ข่มเหงและการกีดกัน [ 364 ] ระหว่าง การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 สวิฟต์สนับสนุนการรณรงค์เอเวอรีวูแมนเคานส์ มีเป้าหมายให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเมือง และเป็นหนึ่งในศิลปินคันทรีที่ได้บันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้โครงการโหวต ( ฟอร์ยัวร์ ) คันทรี [ 365 ] เธอกล่าวว่า “ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้มีหน้าที่พยายามโน้มน้าวผู้คนว่าให้เลือกใคร ” [ 13 ] หลังประธานาธิบดีโอบามากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เธอกล่าวกับ โรลลิงสโตน ว่าเธอสนับสนุนเขา “ ฉันยังไม่เคยเห็นประเทศนี้มีความสุขกับการตัดสินใจทางการเมืองตั้งแต่ฉันเกิด ฉันดีใจที่นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฉัน ” [ 366 ] ในบทสัมภาษณ์ ค.ศ. 2012 สวิฟต์กล่าวว่า แม้ว่าเธอจะยึดตัวเองเป็น “ ผู้มีการศึกษาและมีความรู้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ ” เธอไม่ขออภิปรายทางการเมือง โดยเกรงว่ามันอาจกลายเป็นอิทธิพลต่อคนอื่นได้ [ 367 ] สวิฟต์เคยใช้เวลาอยู่กับ ครอบครัวเคนเนดี [ 368 ] และเคยกล่าวชื่นชม อีเทล เคนเนดี [ 263 ] เธอเป็น นักสิทธิสตรี ด้วย [ 369 ] เธอต่อต้านการเหยียด รสนิยมทางเพศ หลังจาก เหตุฆาตกรรมแลร์รี คิง ใน ค.ศ. 2008 เธอบันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้องค์กร เครือข่ายให้การศึกษาเกย์ เลสเบียน และรสนิยมต่างเพศ ( GLSEN ) เพื่อสู้กับ อาชญากรรมความเกลียดชัง [ 370 ] หลังครบรอบการเสียชีวิตของคิงหนึ่งปี สวิฟต์กล่าวกับ เซเวนทีน ว่า พ่อแม่สอนไม่ให้เธอ “ ตัดสินคนอื่นโดยมองว่าเขารักใคร สีผิวอะไร หรือศาสนาอะไร ” [ 371 ] มิวสิกวิดีโอเพลง “ มีน ” ต่อต้านการกลั่นแกล้ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับ โฮโมโฟเบีย ในไฮสกูล วิดีโอได้เข้าชิงรางวัลกิจกรรมทางสังคมของเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ใน ค.ศ. 2011 ด้วย [ 372 ] [ 373 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ เชื่อว่าเธอเป็นหนึ่งใน “ คลื่นลูกใหม่ของผู้หญิง ( รสนิยมต่างเพศ ) วัยสาวที่ทำเพลงให้แก่แฟนคลับเกย์ที่ยอมรับตัวตนของตัวเองในเวลาที่มีประเด็นทางวัฒนธรรมที่ชวนสับสน ” [ 372 ] ก่อน การเลือกตั้งสหรัฐกึ่งวาระ ค.ศ. 2018 สวิฟต์ประกาศสนับสนุนผู้ลงเลือกตั้ง พรรคเดโมแครต สองคน [ 374 ] [ 375 ] ได้แก่ จิม คูเปอร์ สมาชิกรัฐสภา สำหรับการลงเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และอดีต ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซี ฟิล เบรเดเซน สำหรับลงเลือกตั้งวุฒิสภา เธอออกมากล่าวต่อต้านผู้คัดค้านเบรเดเซน มาร์ชา แบล็กเบิร์น สมาชิกวุฒิสภาหญิงของ พรรครีพับลิกัน กล่าวว่าการโหวตของเธอ “ ทำให้เธอกลัว ” เธอออกมาแจ้งความประสงค์สนับสนุนสิทธิของ LGBT และความเท่าเทียมกันทางเพศและเชื้อชาติ และประนามการเหยียดชาติพันธุ์ [ 376 ] โหวต.โออาร์จี กล่าวถึงโพสต์ของสวิฟต์ รายงานว่ามีคนลงเลือกตามโพสต์ของเธอถึง 65,000 คนใน 24 ชั่วโมง จำนวนผู้โหวตที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดจากมีผู้สมัครมากขึ้นตามปกติเมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลา [ 377 ] [ 378 ] ระหว่างการประกาศรับรางวัลศิลปินแห่งปีในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2018 เธอโน้มน้าวให้แฟนเพลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งกึ่งวาระ 2018 [ 193 ] ขณะส่งเสริมอัลบั้มแรก สวิฟต์เป็นหน้าตาให้แก่โครงการโมบายล์มิวสิกของบริษัท เวริซันไวร์เลส [ 379 ] ในยุคอัลบั้ม เฟียร์เลส เธอออกสินค้าเสื้อผ้าซันเดรสให้บริษัท แอล.อี.ไอ. ( l.e.i. ) วางจำหน่ายที่ วอลมาร์ต [ 380 ] และออกแบบบัตรให้บริษัท อเมริกันกรีทิงส์ และตุ๊กตา แจ็กส์แปซิฟิก [ 381 ] [ 382 ] เธอเคยเป็นโฆษกให้ทีม แนชวิลล์พรีเดเตอร์ ของ เนชันแนลฮอกกีลีก ( NHL ) และกล้องดิจิทัล โซนี ไซเบอร์ช็อต [ 383 ] [ 384 ] ในยุคอัลบั้ม สปีกนาว เธอออกอัลบั้มรูปแบบพิเศษจำหน่ายผ่าน ทาร์เกต [ 385 ] สวิฟต์เคยเป็นโฆษกให้ยี่ห้อ คัฟเวอร์เกิร์ล [ 386 ] ออกน้ำหอม เอลิซาเบธ อาร์เดน สองรุ่น ได้แก่ วันเดอร์สตรัก และวันเดอร์สตรักเอ็นแชนเทด [ 387 ] ขณะส่งเสริมอัลบั้มที่สี่ เรด สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มด้วยโปรโมชันเฉพาะผ่านทาร์เกต [ 388 ] พาพาจอนส์พิซซ่า [ 389 ] และ วอลกรีนส์ [ 390 ] เธอเคยเป็นโฆษกให้ ไดเอตโค้ก และรองเท้ากีฬา เคดส์ [ 391 ] ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดนรุ่นที่สามชื่อ เทย์เลอร์ บาย เทย์เลอร์ สวิฟต์ [ 392 ] และเป็นหุ้นส่วนกับโซนีอิเล็กทรอนิกส์ และอเมริกันกรีทิงส์ [ 393 ] [ 394 ] สวิฟต์ยังเคยเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท แอร์เอเชีย [ 395 ] และ ควอนตัส [ 396 ] ในระหว่างทัวร์เรดทัวร์ด้วย นับว่าเป็นสายการบินทางการในช่วงทัวร์ทวีปออสเตรเลียและเอเชีย และไอศกรีม คอร์เนตโต เป็นผู้สนับสนุนทัวร์ในทวีปเอเชีย [ 397 ] ในระหว่างส่งเสริมอัลบั้ม 1989 สวิฟต์โฆษณาให้ ซับเวย์ เคดส์ ทาร์เกต และไดเอตโค้ก [ 398 ] ใน ค.ศ. 2014 สวิฟต์ออกน้ำหอมรุ่นที่สี่ชื่อ อินเครดิเบิลทิงส์ [ 399 ]

Read more: Wikipedia

ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์เซ็นสัญญาหลายปีกับ เอทีแอนด์ที [ 400 ] จากนั้นสวิฟต์ได้ลงพาดหัวอีเวนต์ซูเปอร์แซเทอร์เดย์ไนต์ของ ไดเรกทีวี [ 401 ] ในคืนก่อนงาน ซูเปอร์โบวล์ 2017 ขณะส่งเสริมอัลบั้ม เรพิวเทชัน สวิฟต์ออกชุดเบื้องหลังวิดีโอแสดงกระบวนการอัดเสียงลงอัลบั้มผ่านทางไดเรกทีวี [ 402 ] ใน ค.ศ. 2018 สวิฟต์ออกภาพยนตร์โฆษณาให้เอทีแอนด์ทีสองตัว [ 403 ] [ 404 ] สวิฟต์หุ้นส่วนกับ ฟูจิฟิล์ม ในผลิตภัณฑ์กล้อง อินสแต็กซ์ รุ่นพิเศษที่เธอลงลายเซ็น มีโหมดถ่ายตัวเองและโหมดถ่ายภาพซ้อน วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 [ 405 ] [ 406 ] สวิฟต์ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย ได้แก่ รางวัลแกรมมี 11 รางวัล [ 407 ] อเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 34 รางวัล [ 408 ] บิลบอร์ด มิวสิกอะวอร์ด 23 รางวัล [ 409 ] รางวัลสมาคมดนตรีคันทรี 12 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 รางวัล [ 410 ] บริตอะวอดส์ 1 รางวัล [ 150 ] และ ครีเอทีฟอาร์ตเอ็มมีอะวอร์ด 1 รางวัล [ 411 ] ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจาก สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ [ 48 ] [ 412 ] และ หอเกียรติยศนักแต่งเพลง [ 413 ] และถูกรวมในรายชื่อนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาล 100 คน จัดอันดับโดย โรลลิงสโตน เมื่อ ค.ศ. 2015 [ 414 ] [ 415 ] ก่อนต้น ค.ศ. 2016 สวิฟต์ขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านอัลบั้ม ขายซิงเกิลดาวน์โหลดได้ 130 ล้านซิงเกิล และเป็นหนึ่งในห้านักดนตรีที่มียอดขายดิจิทัลสูงที่สุดทั่วโลก [ 140 ] สตูดิโออัลบั้มของสวิฟต์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เฟียร์เลส สปีกนาว เรด และ 1989 ขายได้มากกว่า 4 ล้านหน่วยในสหรัฐ [ 416 ] สวิฟต์เป็นศิลปินที่ขายซิงเกิลดิจิทัลได้มากเป็นอันดับสามในสหรัฐ โดยมียอดขายรวม 106.5 ล้านหน่วย ตามข้อมูลของ สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา [ 417 ] แหล่งข้อมูลอื่น