โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ‘ลูคีเมีย’ ถูกนิยามแบบใสๆ ว่าเป็น ‘โรคนางเอก’ เพราะในหนังในละครหลายเรื่องมักเขียนบทให้นางเอกป่วยด้วยโรคนี้ ถึงจะโศกเศร้าขนาดไหนในฐานะผู้ชม แต่เราคงไม่ได้อะไรมากนัก ดูแล้วอินจนน้ำตาไหล ไม่นานก็กลับสู่โลกความจริง เพราะรู้ทั้งรู้ว่านั่นคือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากแต่ในชีวิตจริง โรคนี้มีความน่ากลัวในระดับใกล้ชิดความตาย เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่า ‘ คุณเป็นลูคีเมีย ’ ต่อให้พระเอกจะโอปป้าขนาดไหน คุณคงอยากปฏิเสธบทนางเอกโดยทันที
ศิลาพร ทองอินทร์ หรือ บีม เขียนบล็อก ( minimore.com/b/nSCmv ) เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตัวหนังสือของเธอดุเดือด ( ดังที่เธอนิยามตัวเองว่า ผู้ป่วยลูคีเมียที่หัวร้อนที่สุดในโลก ) เป็นการเล่าเรื่องความเป็นความตายที่อ่านสนุกและตลกมาก โดยเฉพาะส่วนที่โวยวายเพื่อนร่วมวอร์ดที่แสดงพฤติกรรมแบบ อืม..นะ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก สิ่งที่ดูน่าสนใจเช่นกัน คือระหว่างบรรทัดของเธอแฝงไปด้วยสายตาที่มองโลกอย่างเข้าใจด้วย
เปล่า เธอไม่ได้สุขุมนุ่มลึกเข้าใจสัจธรรม ไม่มีธรรมะ ไม่มีศัพท์บาลี ไม่มีคำพูดของศาสดาองค์ใด เธอฟูมฟาย โวยวาย และเกรี้ยวกราด แต่เป็นอารมณ์ดุเดือดที่มีความหวังกับชีวิต และยอมรับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน
“ เราอ่านบล็อกแล้วไม่ค่อยพบความเศร้าหรือกังวลใจ ” ผมเอ่ยตอนเจอกัน
“ โห พี่ กว่าจะเป็นแบบนี้ หนูก็ต้องเครียดมาก่อนแหละ ” บีมตอบเราด้วยเสียงดังลั่น
ขอเชิญทุกท่านพบกับ…ผู้ป่วยลูคีเมียที่หัวร้อนที่สุดในโลก
The MATTER : ชีวิตก่อนจะรู้ว่าป่วยเป็นยังไง
บีม : ต่างจากตอนนี้เลย พ่อแม่เคยเกือบพาไปพบจิตแพทย์ เราค่อนข้างเก็บตัว เหมือนคนซึมเศร้า เพิ่งเรียนจบจากคณะการจัดการ สาขาการจัดการโรงแรม ม.บูรพา ระหว่างที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร เลยช่วยที่บ้านทำขนมขาย ตั้งใจว่าหลังจากรับปริญญาค่อยเริ่มหางาน
เรื่องนึงที่บอกกับตัวเองเสมอ คือเราห้ามป่วย ห้ามพิการ ห้ามตาย เพราะตอนอยู่ ป.5 เราเสียพี่ชายไปจากอุบัติเหตุ เราเสียใจ แต่ไม่ได้จมมาก แต่ที่จำได้คือบรรยากาศในบ้านเทามาก เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ เราไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเสียใจอีกแล้ว เลยพยายามไม่ใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยง เราเรียนอยู่ชลบุรี ตอนมาฝึกงานกรุงเทพฯ ทางเข้าหอค่อนข้างเปลี่ยว นั่งวินมอเตอร์ไซค์ก็คิดเลยว่า กูต้องห้ามตาย !
The MATTER : ประโยคแรกในบล็อกพูดถึง ‘รอยช้ำโผล่ไม่รู้สาเหตุ’ เล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดขึ้นตอนไหน
บีม : เมื่อต้นปีนี้เลย ทีแรกคิดว่าเพราะไปชนเอง เรายังบ่นกับเพื่อนเลย “ ไอ้เหี้ย นี่มันรอยอะไรวะ ” คงไปชนอะไรมาเแหละ แต่สักพักรอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ นะ แต่คงไม่ได้ชนเป็นสิบรอยป่ะ พอพี่มาเห็น เขาเลยให้ลองไปหาหมอ มันเริ่มแปลกๆ แล้ว เราหาในกูเกิ้ลก่อน แล้วเจอว่า “ รอยช้ำโผล่ไม่รู้สาเหตุ อาจเป็นมะเร็ง ” แค่รอยช้ำจะเป็นมะเร็งได้ไงวะ พี่นึกออกป่ะ แต่ไม่ใช่แค่รอยแล้ว อาการต่างๆ ตรงกับอีเว็บนั้นทุกอย่าง ไข้อ่อนๆ เลือดออกตามไรฟัน เหนื่อยง่าย หนาวๆ ร้อนๆ ตอนนั้นคิดว่า 70/30 พอไปคลินิก หมอให้ไปตรวจเลือด ที่คิดไว้ว่า 70 ก็เพิ่มขึ้น ระหว่างนั่งรอยังคุยกับพี่เลยว่า “ ถ้าเป็นขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงวะ ” พี่บอกว่า “ ไม่เป็นหรอกๆ จะเป็นได้ยังไง ( บีบเสียงเล็ก ) ”
ทีแรกหมอคิดว่าจะเป็นไข้เลือดออก เพราะเม็ดเลือดขาวสูงมาก ตอนนั้น 90,000 เซลล์ จากคนปกติมี 5,000-10,000 เซลล์ หมอให้เราไปรอข้างนอก แล้วเรียกพี่เข้าไป จังหวะนั้นคิดแล้ว แม่งใช่แน่ๆ แล้วล่ะ ชัดเลย สถานการณ์เหมือนในหนังเลย เราออกจากห้องตรวจ พี่เข้าไปคุยกับหมอ ไม่คิดว่าวันนึงจะมาเจอกับตัวเอง สักพักพี่ออกมาตาแดงๆ แล้วบอกเราว่า “ เขาก็ไม่ได้อะไรหรอก แนะนำโรงพยาบาลไปตรวจต่อนั่นแหละ ” เราก็ไม่ถาม เพราะมันใช่อยู่แล้ว ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นหมอเกริ่นๆ เรื่องเจาะไขกระดูกมาแล้ว พี่นึกออกป่ะ เจาะไขกระดูกนะเว้ย มันดูน่ากลัว หลังจากนั้นเราไม่หารีวิวอ่านเลย เจอแม่งไปเลยดีกว่า ได้ไม่ต้องวิตกกังวล ตอนนั้นก็ร้องไห้ๆๆ กลัวอะ ไม่ได้กลัวตายนะ กลัวเจ็บ และกลัวพ่อแม่เสียใจ
พี่สาว : ตอนเข้าไปหมอบอกว่า “ อาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนะ ” เหมือนมีไม้หน้าสามมาตีหัว ช็อค หัวว่างเปล่า หมอแนะนำให้ไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกที เพราะคลินิกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาแนะนำโรงพยาบาลต่างๆ มา รามา ศิริราช จุฬา มันเป็นสถานการณ์ที่ลำบากใจมาก เรารู้อยู่เต็มๆ ว่าคงเป็น มันเกือบชัวร์แล้วล่ะ ในหัวมีคำถามเยอะมาก ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เขานั่งร้องไห้ เราก็ได้แต่ปลอบ “ อาจไม่เป็นก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไป หาหมอก่อนค่อยว่ากัน ถึงเป็นก็ต้องสู้ ” ตอนนั้นไม่ร้องไห้ มันยากมาก แต่พอกลับมาถึงบ้านเท่านั้นล่ะ เราปล่อยเลย
บีม : ตอนเย็นหาหมอที่คลินิกที่ฉะเชิงเทรา เช้าวันต่อมาพี่สาวพาไปโรงพยาบาลจุฬาเลย เริ่มจากแผนกอายุรกรรม เอาผลแล็บของเมื่อวานให้ดู หมอสั่งให้ไปตรวจเลือดด่วน แต่เป็นด่วนที่รอผลนานมากกก ( เน้นเสียง ) ระหว่างนั้นก็เรียกเข้า เรียกออก เรียกเข้า เรียกออก จังหวะที่เรากลัวอยู่แล้ว เหมือนรอพรีเซ็นท์หน้าห้อง เมื่อไรจะถึงกูสักที พอถึงก็ให้ขึ้นเตียงตรวจร่างกาย เจอว่าปอดกับม้ามโตอีก เป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นโรคนี้แน่ๆ แต่หมออายุรกรรมอยากให้หมอเชี่ยวชาญเฉพาะโรคตรวจโดยละเอียดอีกครั้งก่อน
ตอนนั้นหมออายุรกรรมพูดกับเราว่า “ รู้แหละว่าตอนนี้เรามีคำถามมากมายเกิดขึ้น แต่เดี๋ยวรอให้ไปคุยกับหมอโรคนี้โดยตรงดีกว่า ” แล้วก็ถามว่า “ เครียดใช่ป่ะ เป็นหมอก็หมอก็เครียด ” มันก็ต้องเครียดป่ะวะพี่ ( หัวเราะ )
พอไปเจอหมอโรคเลือด เขาบอกว่า “ จากผลเลือด จากสไลด์ หมอคิดว่าน่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรัง ” ปกติมันมีแบบเฉียบพลันกับเรื้อรัง ถ้าเรื้อรังจะกินยา อาจมานอนโรงพยาบาลครั้งสองครั้ง แต่ไม่ต้องแอดมิทหรอก เราก็แบบ เออ เหี้ยเอ้ย แค่กินยา ไม่ได้ยากเท่าไร ทำได้ดิวะ แต่หมอบอกต่อว่า “ ยังไงต้องเจาะไขกระดูกให้ผลแน่ชัดอีกที ” แต่ค่าเจาะไขกระดูกมันแพง ต้องรักษาต่อเนื่อง เลยให้เราไปทำเรื่องโอนสิทธิรักษาก่อน แล้วกว่าเรื่องสิทธิจะเรียบร้อยนะ อื้อหือ ( ลากเสียง ) พี่คะ เข้าใจความเอกสารของประเทศไทยหรือเปล่า นั่นแหละค่ะ
พอทำเรื่องเสร็จ กลับมาเจอหมอ ตอนตรวจเลือดที่คลินิก เม็ดเลือดขาวมี 90,000 เซลล์ พอมาโรงพยาบาล 350,000 เซลล์ คืนเดียวนะ พอเว้นไปทำสิทธิแล้วกลับมาตรวจอีก ขึ้นเป็น 430,000 เซลล์ เร็วมาก หมอให้เจาะไขกระดูกสันหลังวันนั้นเลย เพราะเกล็ดเลือดเราต่ำมาก ตอนแรกเราคิดว่า เป็นแบบเรื้อรัง กินยา ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ทำใจมาพร้อมสู้มาก แต่วันนั้นหมอพูดว่า “ หมอคิดว่าเป็นเรื้อรังที่เทิร์นมาเป็นเฉียบพลันแล้ว ครั้งแรกก็อาจต้องนอนเป็นเดือน แต่เตียงยังไม่ว่าง ต้องอยู่ห้องฉุกเฉินก่อน ” ถ้าไม่รีบให้ยา ให้น้ำเกลือ กินยาควบคุมเม็ดเลือด เราอาจแย่กว่านี้มาก เตียงวอร์ดโรคเลือด คนไปนอนทีก็นาน คนเยอะมากๆๆ เราเลยไปอยู่ห้องฉุกเฉิน ห้องวอร์ดโรคเลือดว่างเมื่อไรค่อยไป เลยเป็นที่มาของบล็อกตอน ‘ ห้องฉุกเฉิน ’
The MATTER : บรรยากาศในห้องฉุกเฉินเป็นยังไงบ้าง
บีม : ถ้าไม่นับตอนแรกเกิด หนูไม่เคยนอนโรงพยาบาลเลย แล้ววันนั้นห้องฉุกเฉินคนเยอะจริงๆ ทุกคนอยู่บนเตียงรถเข็น บรรยากาศวุ่นวาย เสียงดังมาก ห้องฉุกเฉินให้เยี่ยมได้แค่ครั้งละ 2 คน คนละ 5 นาที มีลุงคนนึงพูดเสียงดังตลอดว่า “ ปล่อยกู จะกลับบ้าน ! ” โวยวายตลอด เสียงประกาศเรียกคนดังมาก ดังทั้งคืน คนนู้นอยู่ไหน คนนี้อยู่ไหน ป้าข้างๆ ก็พูดอยู่ตลอด “ หมอคะ หมอคะ มาลัย สุทธิประภาค่ะ ” ตอนนี้ยังจำชื่อได้เลย เขาเรียกทั้งวัน “ หมอคะ เข้าห้องน้ำหน่อยค่ะ ” เขาเรียกทุกคนว่าหมอ ตอนนั้นนอนคนเดียว ก็เครียด ไม่ได้พูดอะไรหรอก แต่ในใจนี่แบบ โถ่ ป้า ! ป้าลงจากเตียงไม่ได้ ก็ฉี่บนเตียง เราพยายามตะแคงข้าง ไม่มอง เล่นโทรศัพท์
อยู่ห้องฉุกเฉิน เราต้องตื่นมากินยาทุก 8 ชั่วโมง ติดตามผลเลือดอย่างใกล้ชิด เจาะทุก 8 ชั่วโมง ให้น้ำเกลือไปด้วย บวมน้ำเกลือ หาเส้นไม่เจอ โห ตลอด 3 วัน 2 คืน โดนเจาะไปสัก 20 ครั้ง เราเจาะไขกระดูกมา โคตรเจ็บ ! ใครบอกว่าไม่เจ็บ มึงมาลอง อย่าหลอก พี่ มันเจ็บมากจริงๆ แล้วเราเจาะประมาณ 3 รู พี่ต้องได้ยินเสียงตอนไข มันดัง กึ้ดๆๆ เสียวขาไปทั้งขา เจ็บไปอีก 2-3 วัน แล้วเตียงก็สูงมาก กว่าจะได้เข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง ท่าโคตรแย่ พยาบาลห้องฉุกเฉินดุมาก ไม่กล้าเรียกหรือขออะไรเลย แม้ในใจเราจะแบบ ช่วยให้ป้าเงียบหน่อยได้ไหม ( หัวเราะ ) ห้องฉุกเฉินมันวุ่นวายจริงๆ นะพี่ บางทีนอนๆ อยู่ เขานึกจะเข็นเราไปไหนก็เข็น สลับกับคันนั้นคันนี้
The MATTER : หงุดหงิดจนลืมเรื่องโรคที่เป็นไปเลย
บีม : ใช่ๆๆ ตอนนั้นก็เครียดนะ แต่ไถทวิตเตอร์ได้ ( twitter.com/93Hothead ) เขาเขียนว่าห้ามใช้โทรศัพท์ แต่หนูไม่รู้ว่าห้ามใช้คือห้ามโทร หรือห้ามเล่นเลย แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร
The MATTER : ตอนนั้นบ่นอะไรในทวิตเตอร์
บีม : ( หัวเราะ ) โห พี่ มีแต่คำหยาบทั้งนั้น หนูด่าอีโรคนี้อย่างเดียวเลย
The MATTER : วันแรกร้องไห้ไหม
บีม : ร้องแค่ตอนคนที่บ้านจะกลับ ทีแรกก็ไม่ร้องนะ เข้มแข็ง พอเจอหน้าพ่อแม่เท่านั้นแหละ น้ำตาไหลเป็นนางเอกเอ็มวีเลย หนูเซ้นซิทีฟกับพ่อแม่ เห็นหน้าคนในครอบครัวก็จะแบบ.. เหมือนเขาก็กลัว เราก็กลัว พูดแล้วจะร้องไห้ ( หัวเราะ ) แต่หลังจากนั้นก็ไม่ร้องนะ อยู่ได้
The MATTER : หลังจากนั้นก็ขึ้นมาพักฟื้นที่วอร์ดโรคเลือดต่อเหรอ
บีม : คนละเรื่องกับห้องฉุกเฉินสุดๆ ที่นี่เงียบสงบ ห้องนึงมี 4 เตียง ห้องอื่นก็มี 2 บ้าง 3 บ้าง ไม่รวมที่หนูด่าอีโรคนี้ลงทวิตเตอร์ และดูรายการทำอาหาร พยาบาลจะมาอาบน้ำให้คนไข้สูงอายุ วัดความดันตีห้าครึ่ง เก้าโมงครึ่ง บ่ายโมงครึ่ง สี่โมงครึ่ง สองทุ่มครึ่ง ห้าทุ่มครึ่ง และตีสองครึ่ง เจาะเลือดจันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนคีโมให้โดยการเจาะที่คอผ่านเส้นเลือดดำ ให้ต่อเนื่องทั้งหมด 7 วัน แล้วก็เอาออก การให้คีโม คือล้างเม็ดเลือดขาว ตัวดีตัวเลวไปหมดเลย ช่วงหลังจากให้คีโมแรกๆ เรามีโอกาสติดเชื้อง่ายมากๆๆๆ พอเม็ดเลือดขาวเริ่มขึ้น เราก็เริ่มเป็นไข้ หมอบอกว่าแบบนี้คือสัญญาณที่ดี เม็ดเลือดขาวกำลังทำงาน เป็นไข้กันทุกคน พอเม็ดเลือดขาวคงที่ ก็ไม่ได้ให้ยาอะไรแล้ว
The MATTER : คืนแรกที่วอร์ดโรคเลือดเป็นยังไงบ้าง
บีม : เราขึ้นไปด้วยความเศร้าๆ น้ำตายังไหลอยู่เลย ( ทำเสียงเศร้า ) พี่ในห้องนั้นก็ปลอบ หนูอายุยังน้อย ไม่เป็นไรหรอก แต่ยิ่งปลอบยิ่งร้องไห้ คืนนั้นพ่อกับพี่สาวร้องไห้ สงสารเหรอ ( ยิ้ม แล้วหันไปถามพี่สาว ) แต่พอทุกคนกลับไป เราเลยมาคิดว่า “ อีโรคเหี้ย มึงจะทำอะไรกู มาเลย พร้อมสู้แล้ว ” ก็คงไม่ยากเท่าไร แค่ดูแลตัวเอง ตอนนั้นพร้อมสู้แล้ว แล้วป้าเตียงสาม พอปิดไฟ เขาก็โทรไปหาที่บ้าน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเลยนะ มารับหน่อย ไม่ไหวแล้ว ที่กูพยายามเข้มแข็งมา มันยากขนาดที่ป้าต้องโทรให้ที่บ้านมารับเลยเหรอวะ จากที่ฮึดสู้ก็ใจแป้วนิดนึง แล้วป้าก็เปิดเพลงขึ้นมา “ คำว่าฮักเกิดขึ้นที่ใด.. ” น่าจะของก้อง ห้วยไร่ เหมือนที่เล่าในบล็อกเลยพี่ เราก็ฮึดกลับมาอีก
The MATTER : ที่บอกว่าพร้อมสู้ คิดว่ากำลังสู้กับอะไร
บีม : สู้กับอีโรคชั่วนี้ มึงร้ายแค่ไหนก็ต้องสู้ เราไม่มีทางไม่สู้ มีทางเดียวให้ไปคือสู้ ร้ายแค่ไหนก็ต้องไป ต้องอดทนกับมัน ต้องเชื่อหมอ หนูเคยได้ยินจากพิม ซาซ่า มะเร็งมันกลัวเสียงหัวเราะ และความร่าเริง
The MATTER : แบบนี้ก็หัวเราะทั้งวันเลย
บีม : ฮ่า ฮ่า ฮ่า อยู่เฉยๆ ก็หัวเราะเลย พี่ตลกเหรอคะ ( หัวเราะ )
The MATTER : จากบล็อกที่เขียนว่า “ตอนนั้นยังสะอื้นอยู่เลย แต่พี่เตียงหนึ่งกับคุณลุง (แฟนคุณป้าเตียงสาม) ก็มาให้กำลังใจเรา บอกเราว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก เราอายุยังน้อย ผ่านมันไปได้อยู่แล้ว ที่บ้านเราก็มาปลอบเราอีก เนี่ย แกเป็นปะ เวลาแกร้องไห้แล้วกำลังจะดีๆ พอมีคนมาปลอบมากๆ นี่แทนที่จะหายแต่มันยิ่งร้องหนักกว่าเดิม แล้วถ้าแกพยายามกลั้นจะยิ่งแย่อะ ปากเปิกสั่น หน้าตาแกจะตลกมาก เพราะงั้นจำไว้ว่าถ้าอยากจะร้องก็ร้องไปเหอะ ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าการร้องไห้เป็นเรื่องผิด” ขยายความเรื่องการร้องไห้หน่อย
บีม : ส่วนตัวเราคิดว่าการร้องไห้เป็นการระบายอย่างนึง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้แปลว่าคนนู้นคนนี้จะกระทบ เราร้องของเราคนเดียว เป็นวิธีเดียวที่จะระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่เราพยายามไม่ร้องให้พ่อแม่เห็น ตอนไม่ไหวแล้ว อยากร้องไห้ ร้องก็รู้สึกดีขึ้น ถึงไม่ได้ช่วยทั้งหมด ก็ดีกว่าไม่ได้ระบายอะไรออกมา
ตอนอยู่โรงพยาบาลก็มีร้องไห้เป็นผีบ้าบ้าง มีผีบ้าสุดๆ ครั้งนึง ตอนเป็นตากุ้งยิง แล้วหมอตามาตรวจให้ บอกว่ากระจกตาเป็นรู ต้องผ่าอีก แค่โรคนี้ก็กลัวฉิบหายแล้ว ต้องผ่าตาอีก ตอนนั้นก็อารมณ์ไม่ค่อยดี บอกเพื่อนไปว่า มึงยังไม่ต้องมาเยี่ยมนะ ไม่พร้อมจะคุย พอเพื่อนมา หนูร้องไห้เป็นสายเลย เพื่อนก็ทำอะไรไม่ถูก แล้วหนูก็บอกว่า “ มึงกลับไปก่อนเหอะ ” ( หัวเราะ ) ไล่เพื่อนกลับบ้านอะ เขามาหาก็รู้ว่าหวังดี แต่ตอนนี้ไม่พร้อมเจอใคร หลังจากนั้นก็คุยกันเหมือนเดิม โชคดีที่เพื่อนดี
The MATTER : ตลอดเดือนกว่าๆ ในวอร์ดโรคเลือด หลังจากให้คีโมจนครบ หลักๆ คือระวังการติดเชื้อ คุณใช้เวลาไปกับกิจกรรมอะไรบ้าง
บีม : นอกจากเล่นทวิตเตอร์ หนูดูรายการอาหารอะพี่ ปกติเราไม่เคยต้องอดอยาก จะกินอะไรก็กินได้ ข้าวโรงพยาบาลนะ พี่ต้องกินหมูก้อนในตำนาน
The MATTER : อร่อยเหรอ
บีม : โห พี่ ลองป่ะคะ ( หัวเราะ ) มันเกินคำว่าไม่อร่อยไปเยอะ แล้วยาคีโมทำให้เบื่ออาหาร ข้าวรสชาติแย่อยู่แล้ว เจอเอฟเฟ็กต์นี้ไป ยิ่งไม่อยากกินเข้าไปใหญ่ มันจะมีหมูก้อนอันนึง แข็งๆ กลมๆ เขาจะไม่ปรุงรส ไม่ใส่พริกไทยทั้งนั้น เพราะทุกอย่างมีโอกาสทำให้ติดเชื้อ
The MATTER : ปรุงรักไง ปรุงน้อยเพราะห่วงคนไข้
บีม : พี่ต้องลอง จริงๆ อยากให้พี่ลองมากเลย ( หัวเราะ ) จะได้รู้ว่ามันแย่แค่ไหน หมูก้อนเป็นจุดด่างพร้อยของชีวิตเลย มันคือตำนานของโรงพยาบาล ใครมารักษาที่นี่แล้วได้กิน ทุกคนต้องพูดถึง ไม่ใช่แค่หมูก้อน ข้าวต้มตอนเช้านะ คือข้าวต้ม ใส่น้ำ ใส่หมู ผักชี จบ ผัดกะเพราคือ หมูแปะด้วยใบกะเพรา จบ แล้วหมูมะนาวจีนแดงมาก อึ๊ยยย หมูแล้วก็มะนาวอะไรไม่รู้ ไม่เผ็ด มีกลิ่นกระเทียมหน่อยๆ แล้วต้มผักกวางตุ้ง น้ำเป็นสีเขียวอะ ( เสียงเศร้ามาก ) พี่ โคตรแย่ รสชาติแม่งแบบ ปกติหนูกินยากอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไป แต่ก็ต้องกิน กินเท่าที่ไหว ที่บ้านก็เอาอาหารเสริมมาให้ พวกนมต่างๆ โปรตีนจะเสริมสร้างเม็ดเลือดขาว
The MATTER : การดูรายการอาหารช่วยอะไร
บีม : โห้ย พี่ ( ตอบทันที ) เป็นความสุขมาก รายการโกโกริโกะ เกมกึ๋ย ของแกลโซเนะ ตอนเห็นเขากิน เราไม่โกรธแค้นเท่าไร ถ้าหายจะไปกินบ้าง แต่พอเล่นไอจี เพื่อนลงในสตอรี่ หนูส่งข้อความไปด่าทุกคนเลย มึงจะลงทำไม ( หัวเราะ ) ยิ่งอยากกินก็ยิ่งยั่ว อาหารที่อยากกินที่สุดคือส้มตำ เราจะคลื่นไส้มาก ได้กินอะไรเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ จะยิ่งดี แล้วอยากกินอะไรนะ จะเลื่อนเจอแต่อันนั้น โคตรทรมาน
The MATTER : ดูรายการอาหาร ยิ่งอยากกิน แต่ก็ไม่ได้กิน ทำไมถึงดูล่ะ
บีม : ถึงดูแล้วไม่ได้กิน แต่มันเพลินๆ น่ะพี่ พออาหารโรงพยาบาลมา ถอนหายใจ มึงอีกแล้วเหรอ เราตามไอจีรีวิวร้านอาหารไว้เยอะมาก ก็เซฟๆๆๆ เดี๋ยวมึงเจอกูแน่ ดูจนเปลืองสามจีมาก รายการอาหารของแกลโซเนะขับเคลื่อนให้เราผ่านวันแย่ๆ มาได้เลย
The MATTER : ช่วงแรกๆ วางใจต่อสิ่งที่เผชิญยังไง
บีม : ถ้าไม่นับวันที่หนูเป็นผีบ้า หนูจะไม่คิดว่าตัวเองป่วย หนูเป็นคนปิดหูปิดตาและช่างแม่งเก่ง ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความช่างแม่ง ไม่ต้องคิดอะไร โฟกัสอย่างอื่น ทำให้เราไม่เสียใจ ไม่เศร้า ไม่ดีพ หนูไม่อ่านอะไรเกี่ยวกับโรคเลย ยิ่งอ่านยิ่งกังวล เลือกที่จะฟังหมออย่างเดียว ต้องทำยังไง อาการเป็นยังไง
The MATTER : ในบล็อกพูดถึงตัวละครลับ 3 คนในวอร์ดโรคเลือด ป้าเลเวล 2, กล้องวงจรปิดเลเวล 99, และเจ๊เลเวล 999 เล่าให้ฟังหน่อย
บีม : ป้าเลเวล 2 มาไม่กี่วัน เขาเพิ่งตรวจเจอ ถามหมอเยอะมาก ใช่จริงเหรอ ใช่จริงเหรอ ป้าหันมาชวนคุย “ หนูมาอยู่นานหรือยัง ให้ยาอะไรเหรอ ต้องตัดผมด้วยเหรอ ของป้าผมไม่ร่วงแหละ ขวดละแสนกว่าบาท จริงๆ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้นะเนี่ย แต่ลูกชายให้นอนเพราะเบิกได้ ” ต่อหน้าป้า หนูก็ “ อ๋อ ค่ะ ” แต่ในใจก็ “ ป้า ! จะบลัฟทำไม ” แต่ที่เจ็บปวดสุด เราไปเข้าห้องน้ำ แล้วขากลับต้องผ่านเตียงของป้า เขาก็ถามว่า “ หนูๆ ไฟตรงนี้มันปิดยังไงนะ ” แต่ตรงนั้นมันมีบอกเลยว่าเปิด-ปิดยังไง เขาแค่ขี้เกียจลุก เราทำให้ได้ บอกมาเลยว่า “ หนูคะ ปิดไฟให้ปัาหน่อยได้ไหม ” แต่แบบที่เขาทำคือการเนียน
กล้องวงจรปิดเลเวล 99 ไม่ว่าทำอะไร ขยับตัวนิดหน่อยก็มอง ตั้งใจมองมาก มันเกินคำว่าเป็นห่วง แล้วขี้สงสัยสุดๆ อ๊าก… ( ลากเสียง ) ถามพยาบาลแบบย้ำคิดย้ำทำ อันนี้ได้ไหม อันนั้นได้ไหม อุ๊ย ไม่เข้าใจ อย่างนี้เหรอคะ หนูว่าตัวเองขี้สงสัยแล้วนะ คนนี้สุดจริงๆ แล้วหันมาคุยกับเราทั้งวัน “ โห้ย เบื่ออะ พี่เป็นคนทำงานทุกวัน ( ดัดเสียงเล็ก ) พี่มานอนแบบนี้โคตรเบื่อเลย น้องทำได้ยังไง ” รอบแรกก็ปล่อยผ่านไป แต่พอพูดบ่อยๆ หนูเลยตอบไปว่า “ พี่คะ ถ้าไม่รักษาก็ตายป่ะ หนูไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้หรอก ” หลังจากนั้นเขาเงียบไปเลย
ส่วนเจ๊เลเวล 999 เขาเพิ่งออกจากห้องไอซียูมา ด่ามาตลอดทาง ไม่ไหวแล้วเว้ย เหนื่อยเว้ย แม่งเอ้ย เหวี่ยงใส่พยาบาลใส่หมอ ด่าขึ้นไอ้ขึ้นอี คุยกับเพื่อนเสียงดังลั่นว่า “ ทำไมไม่ทำแบบนี้วะ ! ” เก่งกว่าหมออะพี่ รู้ทุกอย่าง ทำไมไม่รักษาตัวเองไปเลยวะ บ่นๆๆๆๆๆ บ่นไม่หยุด บ่นนู่นบ่นนี่ น่ารำคาญ “ เนี่ย ตอนกูอยู่ห้องไอซียูนะ แม่ง ไอ้หมอก็ให้ใส่แพมเพิสอยู่นั่นแหละ ให้น้ำเกลืออยู่นั่นแหละ ” มันเป็นไปตามการรักษาป่ะวะ พี่จะรู้ดีกว่าหมอได้ยังไง
The MATTER : บอกเขาไปแบบนั้นเลยเหรอ
บีม : เปล่า คิด ( หัวเราะ ) เหมือนเราหันไปยิ้มกับเขา แต่เราพูดกับกล้องสองว่า “ แม่ง มึงก็ต้องฟังหมอป่ะวะ ” ( หัวเราะดัง ) แล้วคนนี้มีอีกเรื่อง เขาพูดกับป้าคนนึง ซึ่งเป็นแม่ของเตียงข้างๆ ว่า “ หมอว่าไงบ้างคะ ต้องปลูกถ่ายไหม หนูก็ต้องปลูกถ่าย แต่มันกลัวอะพี่ ไม่คุ้ม หนูได้ยินมาว่านักแบตเข้าไปสามคน นักแบตเลยนะพี่ ออกกำลังกายแข็งแรงเลย ออกมาได้คนเดียว แล้วคนที่ออกมาสภาพไม่เหมือนคนเลย หนูนะไม่เอาหรอก ขออยู่อีกสัก 5 ปีก็พอ หัวดำส่งหัวขาว ให้พ่อแม่ไปก่อน ” บ่นๆๆๆ พูดความน่ากลัวออกมา
แล้วหนูคือคนที่มีแพลนปลูกถ่าย นั่งฟังตาปริบๆ เขาพูดกับป้าคนนั้นจบค่อยหันมาถามหนูว่า “ น้องล่ะคะ หมอบอกจะปลูกถ่ายไหม ” หนูได้แต่ “ ค่ะ ” เขาถามว่าเป็นอะไร หนูก็พูดชื่อโรคไป เขาบอกว่า “ โห น้องอายุแค่นี้เอง ไม่ต้องกลัวหรอก ” ไม่ต้องกลัวเหรอ ! หนูก็ยิ้มแหละ แล้วหันไปหากล้องสองว่า “ มึงพูดความน่ากลัวมาหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวเหรอ ! ” แล้วเขาก็หันไปพูดความน่ากลัวกับป้าคนนั้นต่อ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ แม่ก็บอกหนูว่า ไม่ต้องไปฟังเขาหรอก ฟังหมอคนเดียว
The MATTER : การเจอคนหลากหลายสอนอะไรบ้าง
บีม : โห พี่ เราก็ต้องอดทนอะเนอะ มันเหมือนการอยู่หอในมาก ทั้งที่เราไม่เคยอยู่ เราเลี่ยงไม่ได้ แล้วเราต้องอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง รู้เลยว่าความอดทนที่แท้จริงเป็นยังไง ถึงเราหัวร้อน ด่ามากมายในบล็อก แต่เราไม่เคยพูด ไม่เคยว่า ไม่เคยประชดประชันใส่คนในห้องเลย
เพราะเรารู้ว่าทุกคนก็เจอเรื่องแย่ๆ มามากพอแล้ว ทำแบบนั้นก็เด็กไม่ดี ซึ่งภาพลักษณ์เราพยายามจะเป็นเด็กดีอะ ( ทำเสียงแบ๊ว )
The MATTER : เท่าที่คุยมาก็รู้สึกแบบนั้นครับ
บีม : ( หัวเราะดัง ) หนูจะมีสองหน้ากาก หน้ากากเด็กดี กับหน้ากากเด็กเวร
The MATTER : ในวอร์ดเจอคนดีๆ บ้างไหม
บีม : มีค่ะ คนดีๆ ของหนูคือไม่พูดมาก กินข้าว พูดคุยบ้าง ถ้าเรียกพยาบาลบ่อยๆ ไม่เป็นปัญหาเลย แค่ไม่ต้องมาพูดร้าย ทำตัวเห็นแก่ตัวใส่กันก็พอ
The MATTER : ตอนโกนหัวเตรียมทำคีโม เสียความมั่นใจบ้างไหม
บีม : ไม่นะ ตอนนั้นมีอะไรน่ากลัวมากกว่า นอกจากเห็นตัวเองหน้าเหมือนพี่ชาย ไม่ได้กลัวอะไร มันเป็นเรื่องขี้ประติ๋วมาก
The MATTER : อยู่ในวอร์ดตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2560 หลังจากนั้นรักษาตัวเองยังไงบ้าง
บีม : ตอนแรกหมอแพลนว่าจะเจาะไขกระดูกก่อนออกจากโรงพยาบาล ดูว่าตอบสนองกับยาดีไหม แต่ตอนนั้นเกล็ดเลือดยังขึ้นไม่สุด เลยให้กลับบ้านไปก่อน วิธีการดูแลตัวเองก็คือ ใส่แมส แรกๆ ก็ใส่ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนก็ใส่เหมือนอยู่โรงพยาบาล แล้วกินอาหารสุกตลอด ผักผลไม้สดยังกินไม่ได้ เม็ดเลือดยังไม่ปกติ ถ้าเม็ดเลือดปกติขึน ก็กินอันนี้ได้ พอปกติขึ้นอีกหน่อย ก็กินได้เรื่อยๆ จนทุกวันนี้ก็กินผักสดได้ปกติ
หลังจากเจาะไขกระดูกครั้งที่สอง หมอบอกว่า “ ตอบสนองกับยาคีโมดีนะ อาจไม่ต้องปลูกถ่ายก็ได้ เพราะผลเลือดตรวจกับพี่สาวไม่แมทช์กันร้อยเปอร์เซ็นต์ กินยาก็ได้ ไม่ต้องปลูกถ่ายหรอก ” มันแพงอะพี่ ประมาณ 3-5 ล้าน ถ้าลำบากก็ไม่ต้องปลูกถ่ายก็ได้ ตอนนั้นคือ อ๊าก ! เจ๊ ( เจ๊เลเวล 999 ) ที่เล่าว่าน่ากลัวนักหนา ไม่ต้องปลูกถ่ายแล้วเว้ย เราโทรบอกพ่อแม่ ตอนนี้แค่รอร่างกายฟื้นตัวให้เม็ดเลือดขาวขึ้นๆๆ เหมือนคนปกติ
พอกินยา ( กลีเวค ) ไปสักเดือนนึง กลับมาแล้วเจอหมออีกคนบอกว่า “ เออ ตัวโรคเราค่อนข้างดุนะ หมอแนะนำให้ปลูกถ่ายดีกว่า ถ้าไม่ปลูกถ่ายแล้วกินยาไปเรื่อยๆ แล้วโรคไม่กลับมา อาจอยู่ได้สัก 3-5 ปี แต่ถ้าโชคร้ายโรคกลับมาใน 6 เดือน โรคก็จะดุขึ้น รักษายาก หรือทำได้แค่รักษาแบบประคับประคองไป ” เพิ่งจะดีใจไป แต่จู่ๆ ก็โดนดริฟท์หักแบบถีบลงเหวเลย แค่เรื่องหาเงินก็เครียดแล้ว ยังมาได้ยินคำว่าอยู่ได้ 3-5 ปีอีก เคยได้ยินคำนี้แต่ในหนังในละคร ไม่คิดว่าวันนึงจะได้ยินกับหูตัวเอง เลยต้องเปลี่ยนแผนมาเปลี่ยนปลูกถ่าย
The MATTER : เห็นว่ายากลีเวคราคาสูงมาก แล้วได้สนับสนุนจากมูลนิธิด้วย
บีม : พอออกจากโรงพยาบาลสักเดือนนึง ก็ทำเรื่องขอยา ถึงได้กินยากลีเวค ราคาเม็ดละ 1,000 บาท กินวันละ 6 เม็ด รวมเป็นเงิน 180,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายมูลนิธิ MaxSmiles ช่วยเหลือ ซึ่งก็มีเงื่อนไขว่าใครจะได้รับการช่วยเหลือบ้าง หนูกินมาตั้งแต่เดือนมีนาคม เดือนละเกือบสองแสนบาท เคยมีคำถามเหมือนกันว่าถ้าไม่มีมูลนิธิ MaxSmiles ชีวิตหนูจะอยู่ยังไงนะ ถ้าคนไม่มีเงิน หรือไม่มีมูลนิธินี้ ก็ต้องรักษาประคับประคองไป กินยา ให้คีโม จนถึงจุดที่โรคสงบ ซึ่งคือจุดที่หนูอยู่ตอนนี้ มันมีคนที่โรคสงบแล้วกินยาตัวอื่นตามหมอสั่งไปเรื่อยๆ ( ยาที่อยู่ในสิทธิการรักษา ) จนอยู่ได้หลายปีก็มี หรือคนที่กินยาอย่างหนู แล้วโรคกลับมาก็มี
The MATTER : เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา มองเห็นความสำคัญของครอบครัวยังไง
บีม : สำคัญที่สุด ครอบครัวมีบทบาทมาก ปกติเป็นลูกรักของพ่อแม่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโอ๋กว่าเดิมร้อยเท่า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พี่พามารักษา น้องจะเอาอะไร พี่หาให้ได้หมด ทำให้ได้หมด สนิทกันมากขึ้นด้วย มีช่วงนึงที่เราห่างๆ กันเพราะหนูไปเรียนแล้วอยู่คนละที่ พอป่วยมา เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ดูแลเรา ถ้าไม่มีพวกเขา เราไม่น่าจะมีกำลังใจอยู่จนถึงตอนนี้
The MATTER : ปัจจุบันสุขภาพเป็นยังไงบ้าง
บีม : ถ้าไม่รู้ว่าป่วย คนอื่นดูแทบไม่ออกเลย ช่วงแรกๆ มีเหนื่อยง่ายบ้าง ตอนนี้ตีแบต ปั่นจักรยาน เหมือนคนปกติเลย เคยเจอคนทักอยู่เรื่อยๆ ว่า ป่วยจริงเหรอคะ ไม่เหมือนคนป่วย ตอนนี้หนูเหมือนคนไม่ป่วยมากกว่าก่อนป่วย ตอนนั้นง้องแง้ง ตัวดำ เหมือนคนโดนฉายแสงมา กินยาแล้วทำให้ขาวขึ้นด้วย ถ้าไม่กินยา 6 เม็ดตอนเช้าคือไม่ป่วยเลย ตอนนี้ก็เตรียมปลูกถ่ายไขกระดูก
The MATTER : เล่าถึงการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ฟังหน่อย
บีม : การปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นการรักษาคนที่ปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือดต่างๆ โอกาสหายก็มี โอกาสโรคจะกลับมาก็มี ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต ปลูกถ่ายเหมือนเป็นการต่อชีวิตไปเรื่อยๆ เราต้องหาคู่แท้ เริ่มจากตรวจพี่น้องก่อน โอกาสมีแค่ 25 % ขณะที่คนอื่นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ที่จะมี HLA ( Human Leukocyte Antigen ค่าทางพันธุกรรมที่ใช้ในการตรวจหาความเข้ากันได้ของสเต็มเซลล์ ) ตรงกัน แล้วบ้านเราการลงชื่อบริจาคสเต็มเซลล์ไม่แพร่หลายเท่าการบริจาคเลือด
ก่อนหนูป่วยก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ถ้าสเต็มเซลล์เข้ากันได้ 100 % เราใช้สิทธิบัตรทองได้ แต่ถ้าไม่ตรงต้องออกเองหมดเลย ซึ่งคือ 3-5 ล้าน ตอนตรวจของพี่ ผลออกมาว่าไม่ตรงกัน 100 % ตอนนั้นตัดสินใจจะปลูกถ่ายของพี่แล้ว พอเอาเลือดไปตรวจละเอียด ปรากฏว่าไม่ได้ เพราะหนูมีภูมิตัวนึงที่จะต่อต้านเซลล์ของพี่สาว ทำไปก็โอกาสรอดชีวิตน้อย ถ้าความเสี่ยงสูงกว่า 40 % มันไม่คุ้ม เหมือนเอาเงินไปทิ้ง หลังจากพี่สาวก็ตรวจของคนไทยคนนึง เหมือนจะเข้ากัน ปรากฏว่าไม่ได้อีก หลังจากนั้นก็คนเยอรมัน ก็ไม่ได้อีก ตอนนี้ต้องกำลังรอผลตรวจเลือดจากคนที่อเมริกา ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน
The MATTER : เวลาข้อมูลเบื้องต้นเหมือนจะได้ แต่สุดท้ายไม่ได้ เจอซ้ำๆ รู้สึกยังไง
บีม : เราเหมือนเจ็บมาจนชินแล้ว นึกออกป่ะ ไม่ได้ เออ ก็หาต่อ ย้อนกลับไปครั้งแรกที่รู้ว่าพี่สาวไม่ตรง 100 % ยังไม่เท่าไรนะ แต่พอตั้งใจจะปลูกถ่ายแบบไม่ตรงกัน 100 % ก็ได้ เตรียมตัว ตรวจปอด อัลตร้าซาวน์หัวใจ ทำฟัน ทำทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นพี่สาวให้ซ้อมเรียกว่าแม่แล้ว เหมือนเป็นผู้ให้กำเนิด แต่พอมาหาหมอวันนั้น ตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่า เข้ากันไม่ได้ ตอนนั้นนั่งมองตาปริบๆ แต่พี่ขอเบรคไปอ้วกเลย
พี่สาว : ตอนนั้นเครียดมาก เราไม่ทันตั้งตัว ขณะเตรียมตัวไปปลูกถ่าย จู่ๆ เรียกมาแล้วบอกว่าไม่ได้ มันผิดหวังมาก เขาบอกว่าใช้ของเราแน่นอน เตรียมทุกอย่างแล้ว รอแค่โทรให้แจ้งมาแอดมิท
บีม : ตอนนี้ตรวจมาสามครั้ง เสียดายเงินอย่างเดียว ตรวจครั้งนึงก็ห้าหมื่นกว่าแล้ว
The MATTER : ถ้าสี่คนที่อเมริกายังไม่ได้อีกล่ะ
บีม : ก็รอไปเรื่อยๆ โรงพยาบาลจะหาชื่อทุกๆ สามสี่เดือน ถ้ามีคนลงชื่อเพิ่ม ก็จะเอาชื่อมาหาใหม่เรื่อยๆ หลายคนที่ยังไม่ได้ปลูกถ่ายก็ยังกินยา แล้วอยู่ไปได้เรื่อยๆ ตอนนี้หนูในอยู่ระยะที่สงบ ถ้ากลับมาเป็นอีกก็ต้องกลับไปให้คีโมอีกครั้ง เป็นสูตรที่แรงกว่าเดิม เพราะโรคที่กลับมาจะดุขึ้น พอให้เสร็จก็ต้องปลูกถ่ายเลยทันที
พี่สาว : ทางโรงพยาบาลบอกว่า ถ้าปลูกถ่ายโอกาสที่จะหายเลย 90 % แล้วโรคของน้องเจอน้อยมาก ลูคีเมียมีหลายตัว คนที่ปลูกถ่าย โอกาสที่โรคจะกลับมาอีกก็มี แต่น้อยกว่า ซึ่งเราอาจเป็นกลุ่มที่หายก็ได้ มันเป็นทางเลือกเดียว ถ้าไม่ปลูกถ่าย เราก็ต้องนั่งรอทุกวัน โรคจะกลับมาเมื่อไรวะ
The MATTER : ทุกวันนี้ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกแบบไหน กังวลว่าโรคจะกลับมาบ้างหรือเปล่า
บีม : ไม่ ( ตอบทันที ) อย่างที่บอกว่าทุกวันนี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองป่วย ถ้าไม่ต้องกินยาวันละ 6 เม็ด หนูเป็นคนช่างแม่งเก่ง คิดแค่ว่า ใช้ชีวิตตรงนี้ ทำวันนี้ อยู่ตรงนี้ ไม่คิดถึงอนาคต แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยจิตตกนะ มีบ้าง กลัวว่าตรวจครั้งนี้โรคจะกลับมาหรือเปล่า แต่หนูบอกตัวเองว่า กังวลไปก็เท่านั้น
The MATTER : ทุกวันนี้มีคิดถึงเป้าหมายชีวิตบ้างไหม
บีม : ยังไม่คิดเลย อนาคตมันน่ากลัวมากอะพี่ คิดแล้วเครียด เวลาเข้าไอจีแล้วเห็นเพื่อนเติบโตในหน้าที่การงาน แต่กูยังอยู่ตรงนี้ อยู่กับอีโรคนี้ เครียดเหมือนกันนะ แต่หนูพยายามช่างแม่ง ช่างแม่ง ช่างแม่ง กูไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็น ถ้าวันนึงโรคหายค่อยกลับไปเริ่มต้นอีกครั้งก็ได้ แต่ตอนนี้รักษาตัวเองก่อน ถ้างานตรงสายต้องเข้าไปกรุงเทพฯ หรือไปจังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้พ่อแม่ไม่ให้ไปหรอก
The MATTER : ข้อดีของการป่วยครั้งนี้คืออะไร
บีม : ทำให้เราช่างแม่งเก่งกว่าเดิม เมื่อก่อนหนูเป็นคนขี้กลัว กดดันตัวเอง ดิ่งง่าย แต่พอมาอยู่ตรงนี้ เราเปลี่ยนความคิดไปได้เยอะ มองโลกบวกขึ้นมาก ไม่คิดอะไรไปก่อน
The MATTER : กลัวความตายบ้างไหม
บีม : หนูไม่กลัวตาย แต่กลัวคนอื่นเสียใจมากกว่า ถ้าจะมีก็กลัวเจ็บ กับกลัวคนอื่นเสียใจ
The MATTER : เตรียมตัวกับความตายยังไง
บีม : เคยคิดนะ ก่อนหนูปลูกถ่ายไขกระดูก หนูจะเขียน last chapter ไว้ในบล็อก ถ้ามีวันนั้นจริงๆ หนูจะให้ที่บ้านไปเปิดพับลิค เนื้อหาคงบอกประมาณว่า “ เออ ที่ผ่านมาเราทำดีที่สุดแล้วนะ ”
ปัจจุบันบีมอยู่ในช่วงรอการปลูกถ่ายไขกระดูก หลังจากตรวจเลือดโดยละเอียดของพี่สาว คนไทยหนึ่งคน และคนเยอรมันอีกหนึ่งคน คำตอบออกมาว่า 3 คนนั้นไม่แมชต์กับเธอ ซึ่งเธอกำลังรอผลตรวจของคนอเมริกัน (ที่มีทั้งหมด 4 คน) ระหว่างนี้เธอจึงทำกระเป๋าผ้าออกมาขายเพื่อเตรียมเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งสูงถึงราว 3-5 ล้านบาท ใครสนใจอุดหนุนสามารถดูรายละเอียดได้ตามลิงก์นี้ http://bit.ly/2CZX0Na
Photos by Asadawut Boonlitsak
Share this article